SCGP วางงบลงทุนปี 68 กว่า 1.3 หมื่นล้าน ลุย M&P หนุน “อีบิทด้า” โต 1.8 หมื่นลบ.
SCGP วางงบลงทุนปี 68 แตะ 1.3 หมื่นล้านบาท แย้มเตรียม M&P ธุรกิจ หนุนอีบิทด้าเติบโต 1.8 หมื่นล้านบาท พร้อมเดินหน้า 4 กลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจยั่งยืน
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ไตรมาส 1 ปี 2568 มีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากการบริโภคภายในประเทศกลุ่ม อาเซียน ที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายและความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์ของจีนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่ เศรษฐกิจยุโรปคาดว่าจะเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงและการผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามสถานการณ์ด้านมาตรการภาษีการค้าสำหรับสินค้านำเข้า (Tax Tariff) ที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก โดยราคาพลังงานและต้นทุนโลจิสติกส์คาดการณ์ว่ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง
สำหรับปี 2568 นั้น SCGP ได้วางแผนงบลงทุนรวม 13,000 ล้านบาท และตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA เป็น 18,000 ล้านบาท โดยดำเนินงานผ่าน 4 กลยุทธ์หลักเพื่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพ คือ 1.) Profitability Enhancement & Transition Growth เน้นสร้างการเติบโตตลาดในอาเซียนเพิ่มความร่วมมือระหว่างธุรกิจในห่วงโซ่คุณค่า ขยายสินค้าที่เติบโต ตามผู้บริโภคและเข้าตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง, 2.) People, Operational and Supply Chain Excellence ปรับปรุงต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานผ่าน Data Analytic และ Artificial Intelligence (Al) ผ่านการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ พร้อมลดต้นทุน 600 ล้านบาท
3.) Innovation, Solutions & Customer Experience สร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้ากระบวนการ และบริการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าและสร้างความแตกต่าง เพื่อเพิ่มมูลค่าและความสามารถทำกำไร ทั้งนี้คาดการณ์รายได้จากการขายของโซลูชั่นมากกว่า 37% และ 4.) ESG & Circular Economy เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความยั่งยืน และเพิ่มสินค้าที่ได้การรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด 30%
“การตั้งงบประมาณการลงทุนรวม 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบ 3,000-4,000 ล้านบาท สำหรับการซ่อมบำรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ส่วนที่เหลืออีก 10,000 ล้านบาท จะใช้เพื่อขยายธุรกิจ โดยมีเป้าหมายเน้นการลงทุนในธุรกิจปลายน้ำ เช่น การผลิตกล่องกระดาษในต่างประเทศ รวมถึงสินค้าในกลุ่มโพลิเมอร์ ซึ่งบริษัทมองว่าเป็นธุรกิจที่มีผลตอบแทนค่อนข้างสูง นอกจากนี้ หากพิจารณาถึงทิศทางการร่วมลงทุนในธุรกิจผ่านการจัดตั้งพันธมิตรทางธุรกิจ (M&P) บริษัทคาดว่าจะมีการดำเนินการอย่างน้อย 2 ดีลในปีนี้” นายวิชาญ กล่าว
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCGP กล่าวเสริมว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในปี 2567 ความต้องการในอาเซียนปรับตัวดีขึ้นจากการบริโภคภายในประเทศและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว แต่ในครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดและค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและราคากระดาษบรรจุภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 4 ความต้องการบรรจุภัณฑ์ในอาเซียนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่การนำเข้ากระดาษบรรจุภัณฑ์จากจีนเริ่มฟื้นตัวในเดือนธันวาคม
โดยปีที่ผ่านมา SCGP ปรับกลยุทธ์การตลาดโดยมุ่งเน้นการขายภายในประเทศอาเซียน รองรับความต้องการบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น และสามารถเพิ่มปริมาณการขายในกลุ่มกระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ ทำให้รักษาผู้นำตลาดในอาเซียน นอกจากนี้ยังขยายการลงทุนในสินค้าที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภค เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และ Healthcare Supplies รวมถึงการเพิ่มการส่งออกไปยังตลาดใหม่ในเอเชียใต้ เช่น อินเดีย และ บังกลาเทศ พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต และสร้างเครือข่ายพันธมิตรเพื่อจัดหาวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลในประเทศ เพิ่มเติมด้วยการปรับโครงสร้างทางการเงินในอินโดนีเซียเพื่อลดต้นทุนการเงิน.
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานปี 2567 นั้น SCGP มีรายได้จากการขาย 132,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 16,127 ล้านบาท ลดลง 9% และมีกำไร 3,699 ล้านบาท ลดลง 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนในไตรมาส 4 รายได้จากการขาย 31,231 ล้านบาท ลดลง 2% EBITDA อยู่ที่ 2,845 ล้านบาท ลดลง 35% และขาดทุน 57 ล้านบาท เนื่องจากราคาวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลสูงขึ้นและราคาขายสินค้าลดลง รวมถึงผลประกอบการที่ลดลงจากธุรกิจในอินโดนีเซียและรีไซเคิล
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทมีมติให้จ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 หุ้นละ 0.55 บาท โดยได้จ่ายเงินปันผลงวดระหว่างกาล 0.25 บาทแล้ว และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้าย 0.30 บาท ในวันที่ 21 เมษายน 2568 ตามรายชื่อผู้ถือหุ้นในวันที่ 2 เมษายน 2568 และจะขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 1 เมษายน 2568