จับตา! หุ้นยานยนต์ลุ้นไปต่อ หลัง “ส.อ.ท.” อัพเป้ายอดผลิตปีนี้แตะ 1.5 ล้านคัน

จับตา! AH-SAT-NYT-NEX หุ้นยานยนต์ลุ้นไปต่อ หลัง “ส.อ.ท.” อัพเป้ายอดผลิตรถยนต์ปีนี้แตะ 1.5 ล้านคัน มากกว่าปีก่อน รับปัจจัยบวกการผลิตรถ EV ชดเชยการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าโครงการ EV 3.0 ในอัตรา 1.5 เท่า พ่วงเศรษฐกิจในประเทศขยายตัว 2.4-2.9% และแนวโน้มดอกเบี้ยลดลง ช่วยเพิ่มอำนาจซื้อในประเทศ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้(28 ม.ค.68) ราคาหุ้น “กลุ่มยานยนต์” ปรับตัวขึ้นนำโดยบริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT ปิดตลาดที่ระดับ 11.00 บาท บวก 0.20 บาท ราคาสูงสุดที่ระดับ 11.10 บาท ราคาต่ำสุดที่ระดับ 10.70 บาท  ด้วยมูลค่าซื้อขาย 8.75 ล้านบาท

บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) หรือ AH ปิดตลาดที่ระดับ 14.70 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 2.80% สูงสุดที่ระดับ 14.80 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 14.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.17 ล้านบาท

บริษัท นามยง เทอร์มินัล จำกัด (มหาชน) หรือ NYT ปิดตลาดที่ระดับ 3.10 บาท บวก 0.02 บาท หรือ 0.65% สูงสุดที่ระดับ 3.14 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.02 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.22 ล้านบาท

ขณะที่บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX ปิดตลาดที่ระดับ 0.81 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง ราคาสูงสุดที่ระดับ 0.085 บาท ราคาต่ำสุดที่ระดับ 0.79 บาท  ด้วยมูลค่าซื้อขาย 38.81 ล้านบาท

ทั้งนี้ราคาหุ้น “กลุ่มยานยนต์” ที่ปรับตัวขึ้นคาดนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไร หลังราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลงต่อเนื่อง อีกทั้งได้ปัจจัยหนุนประเด็นสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) วางเป้าปี 2568 ยอดผลิตรถยนต์อยู่ที่ประมาณ 1,500,000 คัน มากกว่าปี 67 ซึ่งมีจำนวน 1,468,997 คัน เพิ่มขึ้น 2.11% แบ่งเป็นการผลิตเพื่อการส่งออกประมาณ 1,000,000 คัน และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศประมาณ 500,000 คัน

โดยในส่วนยอดผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศจำนวน 500,000 คัน จะเพิ่มขึ้น 8.73% จากปีที่แล้วที่ผลิตได้ 459,856 คัน จากปัจจัยบวก ได้แก่ การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าโครงการ EV 3.0 ในอัตรา 1.5 เท่า, เศรษฐกิจในประเทศขยายตัว 2.4-2.9%,คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นจากปี 67, ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรรวมทั้งสินค้าอุตสาหกรรมบางกลุ่มขยายตัวเพิ่มขึ้น, การแจกเงินของรัฐบาลให้กลุ่มต่าง ๆ, การกระตุ้นเศรษฐกิจ e-Receipt, การลงทุนของภาครัฐ

อีกทั้งปี 67 มีผู้ขอรับส่งเสริมการลงทุนในประเทศสูงถึง 1.12 ล้านล้านบาท สูงที่สุดในรอบสิบปี เพิ่มขึ้น 35% จากปี 66 โดยยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ 102,366 ล้านบาท,จะมีการลดดอกเบี้ยในประเทศซึ่งจะทำให้ต้นทุนและภาระการชำระหนี้ลดลงช่วยเพิ่มอำนาจซื้อในประเทศ และราคาน้ำมันอาจลดลงจากการเรียกร้องของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ภาระค่าใช้จ่ายและต้นทุนการดำเนินงานลดลง อำนาจซื้อของประชาชนมากขึ้น

ด้านนายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มฯ และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ในปี 68 ตั้งเป้ายอดผลิตรถยนต์อยู่ที่ประมาณ 1,500,000 คัน มากกว่าปี 67 ซึ่งมีจำนวน 1,468,997 คัน เพิ่มขึ้น 2.11% แบ่งเป็นการผลิตเพื่อการส่งออกประมาณ 1,000,000 คัน และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศประมาณ 500,000 คัน

-ผลิตเพื่อการส่งออกจำนวน 1,000,000 คัน ลดลง 0.91% จากปีที่แล้วที่ผลิตได้ 1,009,141 คัน จากปัจจัยลบ ได้แก่ ความชัดเจนในมาตรการด้านการค้าและอื่น ๆ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าจะขึ้นภาษีอากรนำเข้าอีกมากน้อยแค่ไหน, คู่แข่งในประเทศคู่ค้ามีมากขึ้น, ประเทศคู่ค้ามีการผลิตรถกระบะซึ่งอาจลดคำสั่งซื้อ และอาจส่งออกแทนประเทศไทยจากการผลิตรถกระบะลดลง, ความขัดแย้งและการสู้รบในภูมิภาคต่าง ๆ อาจขยายเพิ่มขึ้นทั้งภูมิภาคเดิมและภูมิภาคใหม่ และมาตรการเข้มงวดการปล่อยคาร์บอนของรถยนต์ของประเทศคู่ค้าที่ทำให้รถยนต์บางรุ่นนำเข้าไม่ได้

อย่างไรก็ดียังคงมีปัจจัยบวก อาทิ ในระยะสั้นจากการขึ้นภาษีนำเข้าของประเทศสหรัฐอเมริกาไม่สูงมากนัก อาจจะไม่กระทบมูลค่าการค้าโลกมากดังที่กังวลกัน ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด, อัตราดอกเบี้ยอาจลดลงและราคาน้ำมันอาจลดลง ทำให้อำนาจซื้อของประเทศคู่ค้าสูงขึ้นส่งผลให้การส่งออกดีขึ้น ต้องติดตามว่าลดลงมากน้อยแค่ไหน และยังต้องติดตามสงครามในภูมิภาคต่าง ๆ ว่ายุติได้หรือไม่ ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจใช้เงินของประชาชนในประเทศต่าง ๆ

-ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 500,000 คัน เพิ่มขึ้น 8.73% จากปีที่แล้วที่ผลิตได้ 459,856 คัน จากปัจจัยบวก ได้แก่ การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าโครงการ EV 3.0 ในอัตรา 1.5 เท่า, เศรษฐกิจในประเทศขยายตัว 2.4-2.9%, คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นจากปี 67, ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรรวมทั้งสินค้าอุตสาหกรรมบางกลุ่มขยายตัวเพิ่มขึ้น, การแจกเงินของรัฐบาลให้กลุ่มต่าง ๆ, การกระตุ้นเศรษฐกิจ e-Receipt, การลงทุนของภาครัฐ,  ปี 67 มีผู้ขอรับส่งเสริมการลงทุนในประเทศสูงถึง 1.12 ล้านล้านบาท สูงที่สุดในรอบสิบปี เพิ่มขึ้น 35% จากปี 66 โดยยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ 102,366 ล้านบาท, จะมีการลดดอกเบี้ยในประเทศซึ่งจะทำให้ต้นทุนและภาระการชำระหนี้ลดลงช่วยเพิ่มอำนาจซื้อในประเทศ และราคาน้ำมันอาจลดลงจากการเรียกร้องของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ภาระค่าใช้จ่ายและต้นทุนการดำเนินงานลดลง อำนาจซื้อของประชาชนมากขึ้น

อย่างไรก็ตามยังมีหลายปัจจัยลบที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงิน เพราะมาตรการการปล่อยสินเชื่อแบบรับผิดชอบจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง, ติดตามดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมจะยังคงลดลงหรือไม่เพราะมีสัดส่วนถึง 30% ของเศรษฐกิจในประเทศและมีแรงงานถึง 16% ของแรงงานทั้งหมดในประเทศไทยซึ่งเกี่ยวข้องกับอำนาจซื้อในประเทศ, สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนอาจจะไม่รุนแรง ซึ่งจะทำให้การย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนมายังประเทศไทยชะลอตัวลงได้ เพราะประเทศไทยได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะส่งผลกระทบการจ้างงานในประเทศไทย, หนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูง อาจจะส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และค่าครองชีพยังทรงตัวในระดับสูงซึ่งจะส่งผลต่ออำนาจซื้อของประชาชน

ขณะที่ยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือนธ.ค. 67 อยู่ที่ 76,346 คัน ลดลง 15.46% จากฐานสูงเดือนธ.ค. 66 และจากปัจจัยการระมัดระวังในการใช้จ่าย จากความไม่แน่นอนในความขัดแย้งระหว่างประเทศและเศรษฐกิจโลก รวมทั้งการแข่งขันจากการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน และรถยนต์ใช้น้ำมันจากหลายประเทศ รวมทั้งพื้นที่ในเรือไม่เพียงพอและจำนวนเที่ยวเรือลดลง รวมไปถึงมาตรการเข้มงวดการปล่อยคาร์บอนของรถยนต์ของประเทศคู่ค้าที่ทำให้รถยนต์บางรุ่นนำเข้าไม่ได้

ส่วนมูลค่าการส่งออกกลุ่มรถยนต์เดือนธ.ค. 67 (เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่) อยู่ที่ 72,629.90 ล้านบาท ลดลง 13.88% จากเดือนธ.ค. 66 สำหรับยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของทั้งปี 67 อยู่ที่ 1,019,213 คัน ลดลง 8.80% จากปี 66 และมีมูลค่าการส่งออกกลุ่มรถยนต์อยู่ที่ 952,550.17 ล้านบาท ลดลง 2.08% จากปี 66

ส่วนยอดผลิตรถยนต์เดือนธ.ค. 67 อยู่ที่ 104,878 คัน ลดลง 17.37% จากเดือนธ.ค. 66 ตามการผลิตขายในประเทศที่ลดลง 28.50% และยอดขายในประเทศที่ลดลง และการผลิตเพื่อส่งออกที่ลดลง 9.47% ตามยอดส่งออกที่ลดลง ในส่วนของจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ตลอดปี 67 อยู่ที่ 1,468,997 คัน จากเป้าหมายที่ 1,500,000 คัน โดยแบ่งเป็นผลิตเพื่อส่งออก 1,009,141 คัน และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 459,856 คัน โดยในภาพรวมถือว่าลดลง 19.95% จากปี 66

สำหรับยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนธ.ค. 67 มีจำนวนทั้งสิ้น 54,016 คัน เพิ่มขึ้น 27.67% จากเดือนพ.ย. 67 แต่ลดลง 20.94% จากเดือนธ.ค. 66 โดยลดลงจากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินจากหนี้ครัวเรือนสูง หนี้เสียรถยนต์ยังเพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมยังคงลดลงโดย ทำให้แรงงานมีอำนาจซื้อลดลง ทั้งนี้ ในภาพรวมปี 67 รถยนต์มียอดขายทั้งหมด 572,675 คัน ลดลง 26.18% จากปี 66

ด้านยอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ประเภท BEV เดือนธ.ค. 67 มีจดทะเบียนใหม่จำนวน 7,146 คัน ลดลง 36.12% จากเดือนธ.ค. 66 โดยตลอดทั้งปี 67 มียอดจดทะเบียนใหม่สะสมจำนวน 96,804 คัน ลดลง 3.21% จากปีก่อน โดยปัจจุบันมีจดทะเบียนทั้งสิ้น 227,470 คัน เพิ่มขึ้น 72.52% จากปีที่แล้ว

ส่วนประเภท HEV เดือนธ.ค. 67 มีจดทะเบียนใหม่จำนวน 5,986 คัน เพิ่มขึ้น 8.66% จากเดือนธ.ค. 66 และตลอดทั้งปี 67 มียอดจดทะเบียนใหม่สะสมจำนวน 127,214 คัน เพิ่มขึ้น 49.54% จากปีก่อน โดยปัจจุบันมีจดทะเบียนทั้งสิ้น 469,543 คัน เพิ่มขึ้น 36.65% จากปีที่แล้ว  และประเภท PHEV เดือนธ.ค. 67 มีจดทะเบียนใหม่จำนวน 521 คัน ลดลง 2.62% จากเดือนธ.ค. 66 และตลอดทั้งปี 67 มียอดจดทะเบียนใหม่สะสมจำนวน 9,372 คัน ลดลง 19.92% จากปีก่อน โดยปัจจุบันมีจดทะเบียนทั้งสิ้น 63,184 คัน เพิ่มขึ้น 17.05% จากปีที่แล้ว

Back to top button