WHA ปักธงรายได้ 5 ปี แตะ 1.5 แสนล้าน ขยายกลุ่มธุรกิจใหม่ “Green Mobility”

WHA เปิดแผนธุรกิจปี 2568 มุ่งเน้นการขยายธุรกิจโซลูชันกรีนโลจิสติกส์ (Mobility) ด้วยงบลงทุนกว่า 119,000 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ารายได้ 5 ปี แตะ 1.5 แสนล้านบาท


นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยว่า ปี 2568 ถือเป็นปีแห่งการลงทุนขยายธุรกิจที่สำคัญของ WHA Group จากปัจจัยหนุนด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical) ที่อาจจะยิ่งทวีความเข้มข้น หลังจากการกลับมาของประธานาธิบดีทรัมป์ที่อาจจะช่วยสร้างโอกาสการลงทุนให้เกิดขึ้นในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทยด้วยพื้นที่ตั้งที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ การเป็นศูนย์รวม Supply Chain ที่ครบวงจร ความพร้อมของระบบสาธารณูปโภค ความมั่นคงทางด้านพลังงาน รวมถึงพลังงานหมุนเวียน แรงงานที่มีคุณภาพ นโยบายการส่งเสริมจากภาครัฐ อีกทั้ง บริษัทฯ ยังต่อยอดสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และประโยชน์ต่อลูกค้า คู่ค้า นักลงทุน และมีผู้ส่วนได้เสียทุกฝ่าย

ทั้งนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายสำหรับปี 2568 มุ่งเน้นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งใน 5 กลุ่มธุรกิจหลัก อาทิ ธุรกิจโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน ดิจิทัลโซลูชัน และโซลูชันกรีนโลจิสติกส์ครบวงจร (WHA Mobility) โดยคาดการณ์กำไรสูงต่อเนื่องในปี 2567 มีรายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรของกลุ่มบริษัทฯ 14,400 ล้านบาท อัตรากำไร EBITDA มากกว่า 55% และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนน้อยกว่า 1.2 เท่า ตั้งเป้าหมายรายได้รวม 5 ปีที่ 150,000 ล้านบาท โดยวางกลยุทธ์ด้วยการส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ครบวงจร ก้าวสู่การเป็นการเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (Tech-Driven Organization)  ตลอดจนการนำศักยภาพขององค์กรไปสร้างการเติบโตในภูมิภาคอาเซียน และเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรสมรรถนะสูงทุกมิติ (High Performance Organization) สอดคล้องกับพันธกิจ “WHA: We Shape the Future”

ประกอบกับแผนการดำเนินงานในปี 2568 WHA Group คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้และส่วนแบ่งกำไรกว่า 20,000 ล้านบาท และคงอัตรากำไร EBITDA Margin มากกว่า 45% สำหรับแผนการดำเนินงานใน 5 ปี (2568-2572) WHA Group เตรียมความพร้อมเพื่อการขยายและสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจในระยะยาว ด้วยการอัดงบลงทุนกว่า 119,000 ล้านบาท วางแผนสร้างรายได้ให้เติบโตประมาณ 2.9 เท่าจากปี 2567 และมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนน้อยกว่า 1.2 เท่า

สำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ เป้าหมายปี 2568 คือการเพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการเป็นประมาณ 3,309,000 ตารางเมตร มีโครงการให้เช่าพื้นที่ใหม่ประมาณ 200,000 ตารางเมตร และมีแผนการขายสิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHART รวมทั้งสิ้นประมาณ 70,000 ตารางเมตร คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท

ธุรกิจโมบิลิตี้ โดยเป็นโซลูชันกรีนโลจิสติกส์ครบวงจรภายใต้แบรนด์ Mobilix ตั้งเป้าให้บริการเช่ารถ EV จำนวนทั้งหมด 20,000 คัน ในอีก 5 ปีข้างหน้า จากกลยุทธ์การสร้างความแข็งแกร่งร่วมกับพันธมิตรทั้งระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า การจัดการยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปี 2568 คาดว่าจะมีรถ EV ภายใต้การบริการเช่ารถมากกว่า 1,700 คัน

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม โดยในปี 2567 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินรวม 2,565 ไร่ แบ่งเป็นในประเทศไทย 2,453 ไร่ และประเทศเวียดนาม 112 ไร่ และมียอดโอนที่ดินรวม 2,070 ไร่ แบ่งเป็นในประเทศไทย 1,727 ไร่ และประเทศเวียดนาม 343 ไร่ โดยลูกค้ารายสำคัญคือ Google ได้ลงนามสัญญาซื้อขายที่ดินเพื่อสร้าง Data Center แห่งแรกในประเทศไทย และ Haier เพื่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศครบวงจรแห่งใหม่ โดย ณ สิ้นปี 2567 บริษัทฯ มีทั้งหมด 15 นิคมอุตสาหกรรม ตั้งอยู่ในประเทศไทย 14 แห่ง และประเทศเวียดนาม 1 แห่ง

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยที่กำลังก่อสร้างและรอการพัฒนารวม 7 โครงการ บนพื้นที่ 8,810 ไร่ สำหรับโครงการในประเทศเวียดนามยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมี 2 โครงการ ขนาดพื้นที่รวม 2,297 ไร่ ที่ได้รับการอนุมัติใบอนุญาตลงทุน (Investment Registration Certificate, IRC) เรียบร้อยแล้ว และ 1 โครงการ ขนาด 1,094 ไร่ อยู่ระหว่างการขออนุมัติใบอนุญาตลงทุน นอกจากนี้ในเดือนมกราคม 2568 บริษัทฯ ยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MoU) กับรัฐบาลท้องถิ่นประจำจังหวัดทัญฮว้า (Thanh Hoa) เพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรม 2 แห่ง พื้นที่รวมประมาณ 4,000 ไร่

สำหรับปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายที่ดินรวม 2,350 ไร่ ทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม เน้นการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะอย่างต่อเนื่อง และพร้อมเป็นพันธมิตรที่ให้บริการโซลูชันแบบครบวงจร

ธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) ในประเทศไทยเน้นการขยายตัวตามการเติบโตของนิคมอุตสาหกรรม พร้อมหาโอกาสใหม่ๆ ในการขยายธุรกิจในพื้นที่นอกนิคมอุตสาหกรรม WHA ส่วนเวียดนาม วางแผนขยายธุรกิจน้ำอุตสาหกรรมและบำบัดน้ำเสียเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม พร้อมตั้งเป้ายอดการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำปี 2568 รวมที่ประมาณ 173 ล้านลูกบาศก์เมตร และยังคงมุ่งเน้นธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่มโดยตั้งเป้าที่ประมาณ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร

อีกทั้งเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งในไทยและนอกประเทศ โดยในไทยมุ่งเน้นการลงทุนในโซลาร์รูฟท็อป และพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in-Tariff และโครงการ Direct PPA เป็นต้น ส่วนเวียดนาม ได้เริ่มดำเนินการศึกษาและพัฒนาโครงการไมโครกริด ที่นิคมเขตอุตสาหกรรม WHA Smart Technology Zone 1 ซึ่งคาดว่าจะพร้อมให้บริการเชิงพาณิชย์ในปี 2569

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจ New S-Curve เช่น เทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) เป็นต้น พร้อมตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมที่ลงนามแล้วเป็น 1,185 เมกะวัตต์ ซึ่งจะมาจากพลังงานหมุนเวียน 657 เมกะวัตต์

ธุรกิจดิจิทัล ภายใต้ WHA Digital ในปี 68 ยังคงเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ใน WHA Group ผ่านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น Artificial Intelligence, Internet-of-Thing โดยในปัจจุบันมีโครงการ AI Transformation ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวน 12 โครงการ ได้แก่ Drone Inspection Solution และ IoX Platform for Solar อีกทั้ง WHA Digital พร้อมหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ จากการพัฒนาแพลตฟอร์ม ได้แก่ โมบิลิกส์ แพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับจัดการยานพาหนะไฟฟ้า (EV) และแบตเตอรี่ โดยได้ตั้งเป้าหมายสำหรับยอดการใช้งานโมบิลิกส์ แพลตฟอร์มที่ประมาณ 900 คัน ภายในปี 68 และเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 6,000 คัน ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า และยังตั้งเป้าหมายในการพัฒนา 5 แอปพลิเคชันใหม่พร้อมให้บริการภายใน WHA Group ภายในปี 68

Back to top button