“รฟท.” เคาะวงเงิน 4 หมื่นลบ. จัดซื้อรถดีเซลราง ปรับอากาศ 184 คัน

บอร์ด “รฟท.” อนุมัติจัดหา รถดีเซลรางปรับอากาศ พร้อมอะไหล่ 184 คัน วงเงิน 2.41 หมื่นล้านบาท รองรับการขยายเส้นทางรถไฟสายใหม่


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (29 ม.ค.68) นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศ พร้อมอะไหล่ จำนวน 184 คัน วงเงินรวมทั้งสิ้น 24,150.00 ล้านบาท (สองหมื่นสี่พันหนึ่งร้อยห้าสิบล้านบาทถ้วน) ว่าที่ประชุมคณะกรรมการรถไฟฯ เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2568 มีมติเห็นชอบให้ผลักดันโครงการดังกล่าวเพื่อนำมาทดแทนรถดีเซลรางปรับอากาศเดิมซึ่งมีการจัดหาครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2538 มีอายุการใช้งานมากว่า 30 ปี เพื่อรองรับการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานทั้งโครงการก่อสร้างทางคู่ระยะที่ 1 – 2 รวมถึงโครงการทางรถไฟสายใหม่ในอนาคตด้วย

ทั้งนี้ โครงการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศพร้อมอะไหล่ จำนวน 184 คัน มีเป้าหมายเพื่อนำมาทดแทนขบวนรถที่ให้บริการขนส่งผู้โดยสารระยะไกลในปัจจุบัน จำนวน 10 ขบวน และนำมาเปิดเดินขบวนรถเพิ่มเพื่อรองรับการขยายเส้นทางในโครงการก่อสร้างทางคู่ระยะที่ 1 – 2 จำนวน 52 ขบวน

โดยแบ่งเป็นเส้นทางระยะกลาง 46 ขบวน และระยะไกล 6 ขบวน ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทย และแผนวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2566 – 2570 (แผนฟื้นฟูการรถไฟแห่งประเทศไทย) ตลอดจนเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับการขนส่งรูปแบบอื่นที่จะทำให้เกิดการปรับรูปแบบการเดินทางของผู้ใช้บริการมาใช้ระบบรางมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาการเดินทางของผู้ใช้บริการลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ลดปัญหาการจราจรติดขัด ที่สำคัญ ยังลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะมลภาวะทางอากาศและลดความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุทางถนนด้วย

สำหรับโครงการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศดังกล่าว เป็นการจัดหารถกำลังดีเซลรางปรับอากาศมีห้องขับ จำนวน 92 คัน วงเงิน 12,075.00 ล้านบาท และรถกำลังดีเซลรางปรับอากาศไม่มีห้องขับ จำนวน 92 คัน วงเงิน 12,075.00 ล้านบาท รวมวงเงินโครงการทั้งสิ้น 24,150.00 ล้านบาท เฉลี่ยคันละ 131.25 ล้านบาท ซึ่งการรถไฟฯ เป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่าย และ กระทรวงการคลัง เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้

ทั้งนี้ การรถไฟฯ มีแผนนำรถดีเซลรางปรับอากาศมาพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น ทั้งการออกแบบภายใน และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกบนขบวนรถ จำนวน 62 ขบวน ประกอบด้วย 1.การทดแทนขบวนรถด่วนพิเศษดีเซลรางปรับอากาศที่จัดเดินในปัจจุบัน จำนวน 10 ขบวน คือ ในเส้นทางสวรรคโลก จำนวน 2 ขบวน, เชียงใหม่ จำนวน 2 ขบวน, อุบลราชธานี จำนวน 2 ขบวน และสุราษฎร์ธานี จำนวน 4 ขบวน

2.การเปิดเดินขบวนรถด่วนพิเศษดีเซลรางปรับอากาศเพิ่มขึ้นจากเดิม เพื่อรองรับทางคู่ระยะที่ 1 และ 2 เส้นทางระยะกลาง จำนวน 9 เส้นทาง รวม 46 ขบวนต่อวัน คือ ในเส้นทางพิษณุโลก จำนวน 10 ขบวน, นครราชสีมา จำนวน 10 ขบวน, ขอนแก่น จำนวน 6 ขบวน, ชุมพร จำนวน 8 ขบวน, สุราษฎร์ธานี จำนวน 2 ขบวน, นครราชสีมา – จุกเสม็ด จำนวน 4 ขบวน, ชุมพร – กันตัง จำนวน 2 ขบวน, ชุมพร – นครศรีธรรมราช จำนวน 2 ขบวน และชุมพร – ยะลา จำนวน 2 ขบวน

3.การเปิดเดินขบวนรถด่วนพิเศษดีเซลรางปรับอากาศเพิ่มขึ้นจากเดิม เพื่อรองรับทางคู่ระยะที่ 1 และ 2 เส้นทางระยะไกล จำนวน 3 เส้นทาง รวม 6 ขบวนต่อวัน คือ ในเส้นทางเชียงใหม่ จำนวน 2 ขบวน, อุบลราชธานี จำนวน 2 ขบวน และหนองคาย จำนวน 2 ขบวน

ขณะที่ รถดีเซลรางปรับอากาศ จำนวน 184 คัน เป็นรถดีเซลรางไฟฟ้ารูปแบบ Hybrid DEMU. (Hybrid Diesel Electric Multiple Unit) ที่สามารถใช้แหล่งพลังงานในการขับเคลื่อนจาก 2 แหล่ง ทั้งเครื่องยนต์ดีเซลและพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ (Energy Storage) เป็นรถปรับอากาศชั้น 1 และชั้น 2 รูปแบบริ้วขบวนรถ ประกอบด้วย รถปรับอากาศชั้น 1 จำนวน 1 คัน และชั้น 2 จำนวน 3 คัน สามารถรองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 239 ที่นั่ง ซึ่งมีการออกแบบพื้นที่สำหรับให้บริการแก่ผู้พิการโดยเฉพาะ

พร้อมกับเน้นความทันสมัยทั้งภายนอก และมีการตกแต่งภายใน อาทิ ระบบ Internet WiFi บนขบวนรถ เก้าอี้โดยสารสามารถปรับเอนได้ ห้องสุขาระบบปิดที่ถูกสุขอนามัย ติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการสื่อสารและจอภาพ LED เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีเคาน์เตอร์จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายระหว่างการเดินทางของผู้ใช้บริการอีกด้วย ทั้งนี้ จะสามารถรับรถงวดแรก จำนวน 60 คันได้ภายในปี 2570 คาดว่าจะมีผู้โดยสารเฉลี่ย 4.81 ล้านคน/ปี สร้างรายได้เฉลี่ย 3,469 ล้านบาท/ปี

 

ขั้นตอนจากนี้ การรถไฟฯ จะนำเสนอรายงานต่อ กระทรวงคมนาคม เพื่อพิจารณาทำความเห็นเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป หากคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการดังกล่าว การรถไฟฯ จึงจะออกประกาศเชิญชวนให้ผู้สนใจยื่นข้อเสนอประกวดราคา และน่าจะพิจารณาผลการคัดเลือกได้ภายในเดือนกรกฎาคมปี 2569 คาดว่าจะสามารถนำรถดีเซลรางปรับอากาศดังกล่าวมาให้บริการได้ครบทั้งหมดภายในเดือนเมษายน 2573 ซึ่งสอดคล้องกับการสนับสนุนจากรัฐบาลในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในการก่อสร้างทางคู่ระยะที่ 1 และ 2 ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2571 และโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2572

“การรถไฟฯ มุ่งมั่นที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้วยการนำรถโดยสารที่มีความทันสมัยมาอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการให้มีมาตรฐานสากล สามารถตอบสนองความต้องการในการเดินทางของผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันได้อย่างเพียงพอ และพร้อมรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจและการเดินทางของประชาชนในอนาคตด้วย” นายวีริศ กล่าวทิ้งท้าย

Facebook ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย (red arrow right)https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0R41Mi9YWLb1QLEWptQaRsLa7CakmeMQh1Nw63jgtWVWxYXGrxB6kBryLrBk6Bioml&id=100064440019733

Facebook สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ Krung Thep Aphiwat Central Terminal (red arrow right)https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02m8QNGXzKLgqwVsJMA5jnCnMjCC4UDaDsBzh3midARqBq212x5X5oPk7W3aZg5Mp2l&id=100064695463226

INSTAGRAM SRT OFFICIAL (red arrow right)https://www.instagram.com/p/DFZ7YZsPBY4/?igsh=MXV4c3gyZGwzZTJ3cw==

Twitter SRT OFFICIAL @PR_SRT (red arrow right)https://x.com/PR_SRT/status/1884540353967276104?t=KxSOSRwTr9tLDA-CAmdGfQ&s=19

Back to top button