เปิดโผ 13 หุ้นบิ๊กแคป เข้าเกณฑ์ “ซื้อหุ้นคืน” พบ P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า สภาพคล่องสูง

จับตา 13 หุ้น มาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ จ่อซื้อหุ้นคืน หลังพบเข้าเกณฑ์ P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า สภาพคล่องสูง และมีกำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรร “บล.กรุงศรี” ชี้เป้า PTT, SCB, KBANK, KTB, BBL, PTTGC, TOP, BCP ส่วนบล.บัวหลวง แนะนำ MAJOR, HANA, STECON, CPN และ SAT ส่วน TTB ที่ประกาศซื้อหุ้นคืน เผยช่วยเพิ่ม ROE EPS และ Dividend yield คาดปี 68 สูงถึง 8.1%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB นำร่องประกาศซื้อหุ้นคืนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เพื่อบริหารทางการเงิน ภายใต้วงเงินรวมไม่เกิน 21,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี เฉลี่ยปีละ 7 พันล้านบาท โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2568-2570 ส่งผลให้ราคาหุ้น TTB วานนี้ (29 ม.ค.) ปรับตัวขึ้นแรง ปิดที่ 1.97 บาท บวก 0.06 บาท เปลี่ยนแปลง 3.14% มูลค่าการซื้อขาย 2,010 ล้านบาท มากเป็นอันดับ 1

นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนายการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS เปิดเผยว่า การซื้อหุ้นคืนของ TTB เป็นการบริหารจัดการทางการเงินของบริษัท เนื่องจากบริษัทมองว่ากำไรยังคงมีแนวโน้มที่ดี โดยกำไรในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ยังดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงตัดสินใจนำเงินมาซื้อหุ้นคืน เนื่องจากเห็นว่าราคาหุ้นยังไม่สะท้อนมูลค่าพื้นฐาน

อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแค่ TTB ที่ดำเนินการซื้อหุ้นคืนเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้มีหลายบริษัทที่ทำธุรกรรมในลักษณะนี้ เช่น บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU, บริษัท เก้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN และ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP ซึ่งหลายบริษัทมีพื้นฐานดี อาจพิจารณาซื้อหุ้นคืน เนื่องจากราคาหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน

ทั้งนี้ จากประเด็นดังกล่าว คาดกระแสเก็งกำไรหุ้นทุนซื้อคืน (Treasury Stocks) ในตลาดนับจากนี้มีแนวโน้มคึกคักขึ้น โดยเฉพาะฝั่งหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดกลางและใหญ่ โดยอิงเกณฑ์ที่ทีมกลยุทธ์ใช้คัดเลือกหุ้นที่มีโอกาสซื้อคืนในลำดับถัดไป ประกอบด้วย 1.เป็นหุ้นมูลค่าต่ำ (Undervalue) ที่ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (PBV) ต่ำกว่า 1.0 เท่า

2.มีสภาพคล่องมากพอที่จะซื้อคืน มากกว่า 5.0% ของมูลค่าตลาด (Market Cap) และมีสภาพคล่องเข้าเกณฑ์ของตลาดฯ

3.มีสภาพคล่องเพียงพอชำระหนี้ครบกำหนดในอีก 1 ปี และ 4.มีกำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรรในงบเดี่ยวเพียงพอรองรับการซื้อคืน

ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่า มีหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่หลัก ๆ อยู่ในกลุ่มพลังงาน, ธนาคาร, ปิโตรเคมี ที่มีโอกาสเห็นการซื้อคืนระยะถัดไป อาทิ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เนื่องจากมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 0.79 เท่า, บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB มูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 0.85 เท่า,

ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK มูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 0.67 เท่า, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB มูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 0.71 เท่า, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL มูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 0.53 เท่า, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC มูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 0.37 เท่า, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP มูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 0.36 เท่า และบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP มูลค่าทางปัญชีอยู่ที่ 0.8 เท่า

โดย PTT ให้ราคาเป้าหมาย 37.5 บาท ซึ่งแนวโน้มปี 2568 จะมีการฟื้นตัวจากธุรกิจก๊าซฯ และปิโตรเคมี ส่วน KBANK ราคาเป้าหมาย 160 บาท คาดกำไรปี 2568 ขยายตัวได้อีก 12.1% โดยน่าจะมีแรงหนุนสินเชื่อขยายตัวตามภาพรวมเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และผลบวกต่อคุณภาพสินทรัพย์ช่วยชดเชย NIM ที่มีความเสี่ยงได้

TTB แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 2.20 บาท โดยคาดกำไรสุทธิปี 2568 อยู่ที่ 2.13 หมื่นล้านบาท เติบโต 1% เทียบกัยช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลักดันหลักจากการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) จากคาดการตั้งสำรองพิเศษเผื่อความไม่แน่นอนในอนาคตน้อยลง โดยราคาหุ้นซื้อขาย P/BV ปีนี้ราว 0.75 เท่า ซึ่ง TTB เป็นหุ้นแรกที่นำร่องประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน ภายใต้วงเงินรวมไม่เกิน 21,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปีเริ่มตั้งแต่ปี 2568-2570 มองเป็นแรงขับเคลื่อนหุ้นในระยะสั้น-กลาง

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS ระบุว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) หลายแห่งมีมูลค่าหุ้นถูก และวิธีการนี้ยังช่วยหนุน EPS และ ROE ได้ด้วย แต่จากที่ได้ศึกษาข้อมูลระหว่างปี 2557-2567 พบว่า บจ.ไทยมักดำเนินการซื้อหุ้นคืนเพื่อป้องกันการปรับตัวลงรุนแรง มากกว่าจุดประสงค์เพื่อผลักดันราคาหุ้นให้สูงขึ้น และโดยเฉลี่ยหลังสิ้นสุดโครงการ ราคาหุ้นส่วนใหญ่มักอ่อนตัวลงอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างช่วงที่มีการซื้อหุ้นคืน แม้ผลตอบแทนด้วยค่าเฉลี่ยไม่ได้สูงมาก แต่ไส้ในพบว่ามีความต่างในระดับ (ลบ) -11% ถึง (บวก) +15% ในวันที่เริ่มซื้อคืน และสูงขึ้นเป็นระดับ (ลบ) -34% ถึง (บวก) +36% ช่วง 7 วันหลังจากนั้น เท่ากับว่ามีโอกาสในการเล่นเก็งกำไรได้บ้างในธีมนี้ โดยแม้ว่าการซื้อหุ้นคืนจะไม่สามารถผลักดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นในระยะยาว แต่ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมเสถียรภาพ และหนุนราคาหุ้นในระยะสั้นได้ด้วย

ดังนั้น จึงได้คัดกรองหุ้นที่มี P/BV น้อยกว่า 1 เท่า หรือ P/E Ratio น้อยกว่า 15 เท่า พร้อมประเมินปัจจัยเสริม เช่น กระแสเงินสดและแผนลงทุน พบว่ามี 11 บริษัทที่มีศักยภาพในการดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ 1.กลุ่มที่เห็นประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนออกมาแล้ว ได้แก่ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITELบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TUบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CKบริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) หรือ AHธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP

และ 2.กลุ่มที่ยังไม่ประกาศ แต่มีศักยภาพตามแนวทางข้างต้น เพื่อนำมาเลือกเก็งกำไร โดยด้านพื้นฐานแนะนำกลยุทธ์เก็งกำไรในธีมซื้อหุ้นคืน โดยคัดเลือกหุ้นที่มีจุดล็อกกำไรและตัดขาดทุนชัดเจน ได้แก่ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR ล็อกกำไร 15.2 บาท ตัดขาดทุน 13.7 บาท, บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA ล็อกกำไร 26.25 บาท ตัดขาดทุน 23.5 บาท, บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON ล็อกกำไร 6.5 บาท ตัดขาดทุน 5.8 บาท,

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ล็อกกำไร 57.5 บาท, ตัดขาดทุน 52 บาท และบริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT ล็อกกำไร 11 บาท ตัดขาดทุน 10.25 บาท

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอกซ์สปริง จำกัด (KTX) ระบุว่า ที่ TTB อนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน วงเงินรวมไม่เกิน 21,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี (2568-2570) โดยการซื้อหุ้นคืนครั้งแรกในปี 2568 จะใช้วงเงินไม่เกิน 7,000 ล้านบาท หรือไม่เกิน 3.6% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้ว ผ่านระบบตลาดหลักทรัพย์ฯ ระหว่างวันที่ 3 ก.พ.-1 ส.ค. 2568 การซื้อหุ้นคืนในปีที่ 2 และ 3 จะพิจารณาจากปัจจัยสำคัญ โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับโครงสร้างทุน เพิ่มอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) และกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) โดยไม่กระทบเสถียรภาพทางการเงิน ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2567 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนที่ 19.3% สูงกว่ามาตรฐานขั้นต่ำ 12% และอยู่ในระดับเดียวกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (D-SIBs)

ทั้งนี้ มีมุมมองเชิงบวกต่อประเด็นดังกล่าว โดยธนาคารมุ่งเน้นการบริหารเงินทุนเชิงรุก ท่ามกลางการเติบโตของสินเชื่อที่ท้าทายและเงินกองทุนในระดับสูง ซึ่งจะช่วยหนุนการปรับเพิ่มขึ้นของ ROE และมีอัพไซด์เชิงบวกต่อ EPS และโอกาสในการ re-rate valuation ซื้อขายที่ Price/Book Value (P/BV) ที่สูงขึ้น กลยุทธ์ลงทุน “Neutral” ราคาเป้าหมาย 2.37 บาท

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด ระบุว่า ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB ประกาศแผนซื้อหุ้นคืน วงเงิน 2.1 หมื่นล้านบาท ภายใน 3 ปี ทำให้มีมุมมองเป็น “บวก” ต่อ TTB แนะนำ “ซื้อ” พื้นฐาน 2.3 บาท พร้อมอัตราปันผลสูง 8.1% ในปี 2568 และ 9.4% ในปี 2569

Back to top button