SINO มองนโยบาย “ทรัมป์ 2.0” ไม่กระทบดีมานด์ขนส่งสินค้า “ไทย-สหรัฐฯ”

SINO มองธุรกิจ “โลจิสติกส์” ระหว่างประเทศปี 68 ประเมินนโยบายขึ้นภาษียุคทรัมป์ 2.0 ไม่กระทบดีมานด์ขนส่งสินค้าไทย-สหรัฐฯ เล็งขยายฐานธุรกิจในอาเซียน รองรับดีมานด์จากการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการจีน


นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SINO เปิดเผยว่า จากความกังวลภาพรวมเศรษฐกิจและการค้าทั่วโลกที่มีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น หลังจากที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นสมัยที่ 2 (ทรัมป์ 2.0) อย่างเป็นทางการ และเริ่มดำเนินนโยบายปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้ากับประเทศต่างๆ นำมาสู่ความกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าหากสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนและประเทศอื่นๆ ที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เช่น ไทย, เวียดนาม เป็นต้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อความต้องการขนส่งสินค้า และการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ที่เป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางทะเลในเส้นทางไทย-สหรัฐฯ

โดยปัจจัยที่บริษัทฯ มีมุมมองดังกล่าว เนื่องจากแม้สหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนและประเทศอื่นๆ ที่เกินดุลการค้า แต่ต้นทุนการผลิตสินค้าประเภทเดียวกันในสหรัฐฯ ก็ยังคงสูงกว่าการนำเข้าจากประเทศดังกล่าว ประกอบกับสหรัฐฯ ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าบางรายการที่ไม่สามารถผลิตได้เอง เช่น อาหาร เป็นต้น ส่วนสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมหากมีการย้ายฐานการผลิตจากจีน มองว่าไทยและประเทศในภูมิภาคอาเซียนน่าจะเป็นประเทศเป้าหมายที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนของผู้ประกอบการจีน

มองว่าการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากประเทศต่างๆ จะส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ประกอบการนำเข้าสินค้าในสหรัฐฯ ที่มีต้นทุนเพิ่มขึ้น ขณะที่ความต้องการนำเข้าและส่งออกสินค้าจากสหรัฐฯ จะมีอย่างต่อเนื่อง และยังคงเป็นโอกาสของผู้ให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ” นายนันท์มนัส กล่าว 

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนขยายฐานธุรกิจขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยในปีที่ผ่านมาได้ร่วมกับพาร์ทเนอร์จัดตั้งบริษัทร่วมทุนที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศจากมาเลเซีย-สหรัฐฯ และมาเลเซียไปยังภูมิภาคอื่นๆ

รวมถึงขยายการลงทุนในเวียดนามที่เตรียมเปิดให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในเร็วๆ นี้ โดยมาเลเซียเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงจากปริมาณการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ มากเป็นอันดับ 3 ในภูมิภาคอาเซียน ขณะที่เวียดนามเป็นผู้ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ เป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถตอบสนองความต้องการขนส่งสินค้าจากอาเซียนไปยังสหรัฐฯ หากมีการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการจีนมายังประเทศไทย มาเลเซีย และเวียดนาม

Back to top button