“พิชัย” เจรจา “JETRO-หอการค้าญี่ปุ่น” ชวนพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

รมว.พาณิชย์ หารือ ผู้บริหาร JETRO และ หอการค้าญี่ปุ่น ชวนพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการขยายการลงทุนของไทย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หารือกับนายคุโรดะ จุน (Mr. KURODA Jun) ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น ณ กรุงเทพฯ หรือ JETRO Bangkok และนายโท โคโซ (Mr. TO Kozo) ประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (Japanese Chamber of Commerce, Bangkok : JCCB)

นายพิชัย กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ พร้อมส่งเสริมสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการจากญี่ปุ่น ในการให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการลงทุน เศรษฐกิจของไทยกำลังเป็นไปได้ด้วยดี เดินมาถูกทาง โดยการส่งออกปี 2567 เติบโตถึง 5.4% และเดือน ธ.ค.67 ที่ผ่านมาขยายตัวถึง 8.7% และปี 2567 มีตัวเลขส่งเสริมการลงทุนสูงถึง 1.13 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์

ทั้ง JETRO และ JCC ต่างมีส่วนสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนของไทย ญี่ปุ่นถือเป็นนักลงทุนสะสมอันดับหนึ่งของไทยมาอย่างยาวนาน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับนักลงทุนญี่ปุ่นอย่างยิ่ง และอยากให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย

กระทรวงพาณิชย์ ประสบความสำเร็จในการจัดทำ FTA กับเอฟตา และนายกฯ ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดทำ FTA กับอียู (EU) ให้สำเร็จภายในปีนี้ เพื่อให้นักลงทุนที่เข้ามาสามารถใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA สร้างแต้มต่อทางการค้าและการลงทุน และจากนี้จะมีอีกหลายฉบับ เช่น อิสราเอล, ภูฏาน, ยูเออี, เกาหลีใต้, แคนาดา และอังกฤษ ที่เร่งรัดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

รมว.พาณิชย์ กล่าวอีกว่า ได้เชิญชวนให้ชาวญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต อาทิ เซมิคอนดักเตอร์, ดาต้า เซ็นเตอร์ (Data Center), แผงวงจรพิมพ์ และ AI ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการขยายการลงทุน

และขอให้ไทยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนภาคอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของญี่ปุ่น ที่จะมีการทุ่มงบประมาณมากกว่า 10 ล้านล้านเยน หรือ 2.2 ล้านล้านบาท ในช่วง 10 ปีข้างหน้า และตนยังให้นโยบายกับกระทรวงพาณิชย์ ในการเร่งทำงานเชิงรุกแก้ไขปัญหาล่วงหน้า และปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งวันที่ 3-8 ก.พ.ที่จะถึงนี้ ตนจะเดินทางไปที่สหรัฐอเมริกา เพื่อหารือกับฝ่ายการเมืองและภาคเอกชนของสหรัฐฯ เพื่อเจรจาเรื่องกำแพงภาษีจากนโยบายของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่ภาคเอกชนแสดงความกังวลอยู่ในเวลานี้

พร้อมกันนี้ ฝ่าย JETRO และ JCC ได้ยื่นข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อเป็นแนวทางให้ภาครัฐไทยสร้างระบบนิเวศธุรกิจที่เอื้อต่อการค้าการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อาทิ การอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจแก่บริษัทต่างชาติในไทยและเพิ่มความยืดหยุ่นในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน โดยเฉพาะการปรับปรุงข้อกำหนดเกี่ยวกับการควบคุมตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อเพิ่มผลิตผลทางการเกษตร ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ยินดีรับข้อเสนอไปปรับใช้ในการกำหนดนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตลอดจนบูรณาการและประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมสร้างการเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

ด้าน นายคุโรดะ จุน ได้นำเสนอผลสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยในช่วงครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2567 จากบริษัทที่เป็นสมาชิกหอการค้าญี่ปุ่นฯ จำนวน 559 ราย พบว่า ดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจ (Diffusion Index : DI) อยู่ที่ -11 (ตัวเลขคาดการณ์) สาเหตุหลักมาจากการบริโภคสินค้าคงทนที่ยังซบเซาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะได้รับผลดีบางส่วนจากการฟื้นตัวของการส่งออก ส่วนแนวโน้มการส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2568 มีสัดส่วนบริษัทผู้ตอบแบบสำรวจที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 24% คงที่ 62% และลดลง 13% โดยตลาดส่งออกที่มีศักยภาพในอนาคต 4 อันดับแรก ได้แก่ อินเดีย 49% เวียดนาม 44% อินโดนีเซีย 28% และสหรัฐอเมริกา 20% ตามลำดับ

และมีหลายประเด็นที่ญี่ปุ่นเห็นว่า รัฐบาลไทยได้ปรับปรุงพัฒนาดีขึ้น อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมการขนส่ง 28%, การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการดำเนินงานของภาครัฐ 15, การแก้ปัญหาการออกใบอนุญาตทำงานและวีซ่า 14%, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร 14%, การออกมาตรการแก้ไขปัญหาอุทกภัย 11% และการดำเนินงานด้านความตกลงทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ FTA และ EPA 10% ซึ่งทางญี่ปุ่นให้การยืนยันที่จะลงทุนในไทยต่อไป

ทั้งนี้ ญี่ปุ่น เป็นคู่ค้าสำคัญอันดับที่ 3 ของไทย โดยในปี 2567 มีมูลค่าการค้ารวม 52,020.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกไปญี่ปุ่นมูลค่า 23,285.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ, ไก่แปรรูป,เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ, และเคมีภัณฑ์

ขณะเดียวกัน ไทยนำเข้าจากญี่ปุ่น เป็นมูลค่า 28,734.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ เหล็ก, เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ, เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ, ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ และ แผงวงจรไฟฟ้า

นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังเป็นนักลงทุนสะสมอันดับ 1 ของไทยมาอย่างยาวนาน โดยในปี 2567 ญี่ปุ่นยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เป็นอันดับ 5 จำนวน 271 โครงการ มูลค่ารวม 49,148 ล้านบาท สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของญี่ปุ่นในฐานะหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ด้านการค้าและการลงทุนของไทย

Back to top button