“ทรัมป์” รีดภาษี “แคนาดา-เม็กซิโก” หนุนราคาน้ำมันโลก! PTTEP-SPRC รับประโยชน์

“ทรัมป์” ประกาศภาษีแคนาดา เม็กซิโก เป็นบวกกับราคาน้ำมันโลก จับตาฝั่งต้นน้ำและโรงกลั่นรับประโยชน์ โบรกแนะเก็งกำไร PTTEP-SPRC


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีประธานธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (1 ก.พ.68) โดยกำหนดให้เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% และเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 10% โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันอังคารที่ 4 ก.พ.ตามเวลาสหรัฐฯ

ทั้งนี้ การเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกซึ่งเป็นแหล่งนำเข้านำมันดิบที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ นั้น จะเพิ่มต้นทุนน้ำมันดิบเกรดหนัก (heavy crude grade) ซึ่งเป็นเกรดที่โรงกลั่นน้ำมันของสหรัฐฯ จำเป็นต้องใช้ โดยสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้กำไรของโรงกลั่นลดลงและอาจบีบให้โรงกลั่นเหล่านี้ต้องลดกำลังการผลิต

สำหรับประเด็นข้างต้นส่งผลให้ ณ เวลา 12:54 น. ตามเวลาไทยวันนี้ 3 ก.พ. 68 ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ระดับ 73.97 ดอลลาร์/บาร์เรล  พุ่งขึ้น 1.44 ดอลลาร์ หรือ  1.99% ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) อยู่ที่ระดับ 76.41 ดอลลาร์/บาร์เรล  พุ่งขึ้น 0.07 ดอลลาร์ หรือ  3.05%

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อข่าวดังกล่าวต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นจากผลกระทบต่อกระแสการค้าน้ำมันโลก ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ (31 ม.ค. 68) ที่ผ่านมาราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ Brent ปิดทรงตัว DoD ที่ 76.8 ดอลลาร์/บาร์เรล

ขณะที่ยังคงสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2568 ที่ 73.0 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลงจาก 79.8 ดอลลาร์/บาร์เรล  ในปี 2567 และคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” ดังนั้น เชื่อว่าหุ้นกลุ่มน้ำมันต้นน้ำกลับมาน่าสนจาก valuation ที่ไม่แพงและเงินปันผลที่สูง โดยแนะนำ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 160.00บาท ซึ่งเงินปันผลครึ่งหลังของปี 2567 คิดเป็นอัตราตอบแทนที่ 4.0% โดยจะขึ้น XD ในวันที่ 25 ก.พ. 2568

ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า จากการขึ้นภาษีนาเข้าน้ำมันของ U.S. จะทำให้ราคาน้ำมันดิบโลกและค่าการกลั่นผันผวนในระยะสั้น เป็นบวกต่อต้นน้ำและโรงกลั่น (ระยะสั้น) โดยมองแม้วัตถุประสงค์หลัก U.S. ต้องการกดดันให้ทั้ง Canada และ Mexico จัดการกับปัญหาผู้อพยพเข้า U.S.ผิดกฏหมาย แต่มาตรการข้างต้นกระทบภาคพลังงานด้วย ซึ่งน่าจะมีความต้องการทาให้ในระหว่างจัดการปัญหาผู้อพยพฯ Canada และ Mexico ต้องลดราคาน้ำมันดิบ เพราะมีโอกาสน้อยที่จะหาผู้ซื้อรายใหม่แทน U.S. ได้ในระยะสั้น (ปริมาณน้ำมันดิบที่ได้รับผลกระทบราว 4.3 mbd คิดเป็นราว 5% ของความต้องการน้ำมันดิบเข้ากลั่นทั่วโลก) โดยเรามองผลกระทบระยะสั้น มี 2 กรณี

1) ราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปใน U.S. มีแนวโน้มลดลง หาก Canada และ Mexico ยอมลดราคาเพื่อลดผลกระทบของการสูญเสียรายได้จากการส่งออกน้ำมัน ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันดิบใน U.S. ลดลง และส่งผลทางอ้อมให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงในระยะถัดมา จากการส่งออกน้ำมันราคาต่ำของ U.S. ออกมายังตลาดโลก

2) ราคาน้ำมันดิบและค่าการกลั่นเพิ่มขึ้นหากทั้ง Canada และ Mexico ไม่ยอมลดราคาจากคาดว่าโรงกลั่นใน U.S. ไม่สามารถหาน้ำมันดิบที่ราคาต่ำทดแทน Canada และ Mexico ได้เช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนน้ำมันดิบที่โรงกลั่น U.S. ต้องแบกรับสูงขึ้น 6-15 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยหากผลักภาระต้นทุนให้ผู้บริโภคไม่ได้ จะส่งให้ขาดทุนจากการกลั่นต้องลด run ซึ่ง supply ของ U.S. เกือบ 57% ผลิต gasoline 29% เป็น distillate ส่งให้มีแนวโน้มที่น้ำมันจะตึงตัว และ spread gasoline รวมถึง jet และ gasoil ผันผวนขึ้น

ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์มอง Canada และ Mexico มีแนวโน้มจะยอมลดราคาขายน้ำมันเพื่อลดผลกระทบของการขาดแคลนรายได้ และสุดท้ายทำให้ราคาน้ำมันดิบใน U.S. ลดลง โดยคาด facility ส่งออกน้ำมันของทั้ง Canada และ Mexico ไม่เพียงพอที่จะหากผู้รับซื้อรายใหม่ทดแทน U.S.ปิโตรเคมีอาจมีแรงกดดันของ product spread จากผลกระทบของการขึ้นภาษีนำเข้าของ U.S. ซึ่งส่งผลให้เกิดการตอบโต้ของการขึ้นภาษีนาเข้ากลับจากทั้ง Canada และ Mexico รวมถึงจีนอยู่ระหว่างพิจารณามาตรการตอบโต้ คาดจะส่งผลให้ตลาดกังวลการค้าโลกได้รับผลกระทบเชิงลบ และกระทบต่อ demand เม็ดพลาสติก โดยเรามอง IVL ที่มีปริมาณขายราว 1/3 อยู่ภายใน U.S. จะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่ากลุ่ม (การขายใน U.S. ได้ประโยชน์จากการปรับราคาขายขึ้นตาม import parity)

อย่างไรก็ตาม คงคำแนะนำ Neutral ต่อกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี เลือก บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ราคาเป้าหมาย 9.50 บาท เป็น top pick คงมุมมองกำไรกลุ่มฯ ยังอยู่ในช่วงการปรับฐานหลัง supply ตึงตัวน้อยลงสำหรับฝั่งต้นน้ำและโรงกลั่น และ oversupply น้อยลงสำหรับฝั่งปิโตรเคมี (กำไรปกติกลุ่ม 2567-2568 เฉลี่ย -0.3% CAGR และ 2567-2569 เฉลี่ย +3% CAGR)

โดยฝ่ายวิเคราะห์ยังคงมุมมองฝั่งโรงกลั่นผ่านช่วงการปรับฐานของค่าการกลั่น และกลับมาฟื้นตัวเร็วกว่ากลุ่ม ในช่วงไตรมาส 4/2567-2568 จากไม่ได้เผชิญ oversupply จากกาลังการผลิตใหม่เท่ากลุ่มปิโตรเคมี แนะนำ top pick เป็น SPRC ที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว ส่งให้กำไรโตต่อเนื่องใน 2567-2568

Back to top button