“บล.ธนชาต” ชี้ SET สิ้นปีนี้ 1,580 จุด ชู 10 หุ้นกำไรโต-ปันผลเด่น
บล.ธนชาต ชี้เป้า SET Index สิ้นปี 68 แตะ 1,580 จุด แนะจัดพอร์ตลงทุนตราสารหนี้คุณภาพสูงสหรัฐฯ สัดส่วน 30% พร้อมชู SCB, KTB, MTC, CPALL, TRUE, CKP, ERW, SPA, MEGA และ DIF มองทำกำไรดี พร้อมจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เด่นกว่าตลาด
บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทมองสิ้นปี 2568 นี้ มีโอกาสเห็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย SET Index ปิดที่ระดับ 1,580 จุด โดยมองยังมีหลายอุตสาหกรรมที่ยังมีความสามารถทำกำไรได้ดี และมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจไทยที่ค่อยๆ ฟื้นตัว ซึ่งแนะนำให้จัดพอร์ตลงทุนแบบ เสี่ยงปานกลาง (Moderate Risk Portfolio)
ทั้งนี้ จากเศรษฐกิจไทยที่ค่อยๆ ฟื้นตัว ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 หลังจากนโยบายเศรษฐกิจมีความชัดเจน และเสถียรภาพทางการเมืองนิ่งมากขึ้น แต่เนื่องด้วยความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่อาจเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง กรณีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ใช้มาตรการภาษีนำเข้าที่แข็งกร้าวกับประเทศคู่ค้าหลัก
โดยเฉพาะประเทศจีนส่งผลให้กระแสเงินทุนไหลออกจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (Emerging Country) ไปที่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Country) และเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทย ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2567 ทั้ง ๆ ที่มีแรงหนุนจากเม็ดเงินใหม่ผ่าน กองทุนวายุภักษ์ และกองทุนประหยัดภาษี TESG ก็ตาม
ด้าน นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล Head of Retail Strategy และ Investment Strategist บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัญหาของตลาดหุ้นไทยที่ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีนัก ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เป็นผลจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า และโครงสร้างตลาดหุ้นไทย ที่ถูกกดดันจากหลายอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในช่วงหลัง Covid ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพลังงาน, ปิโตรเคมี, ชิ้นส่วนยานยนต์, กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มสื่อโฆษณาเป็นต้น
อย่างไรก็ดีมองว่ายังมีหลายอุตสาหกรรมที่ยังมีความสามารถทำกำไรได้ดีและมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจไทยที่ค่อยๆ ฟื้นตัว ทำให้กลยุทธ์การลงทุนในช่วงหลายปีนี้ อยู่ในภาวะที่ “ต้องเลือก” ลงทุน โดยให้เป้าหมาย SET สิ้นปี 2568 ที่ 1,580 จุด
ทั้งนี้ ในปี 2568 แนะนำให้จัดพอร์ตลงทุนแบบ Moderate Risk Portfolio โดยให้น้ำหนักการลงทุนประกอบด้วย 1.ตราสารหนี้ระยะสั้นเพื่อรักษาสภาพคล่อง 15% ของพอร์ต, 2.ตราสารหนี้คุณภาพสูงในสหรัฐฯ 30% ของพอร์ต ที่นอกจากจะให้ผลตอบแทนจากการถือสูง ยังมีโอกาสได้ส่วนต่างราคาในกรณีที่ Fed กลับมาลดดอกเบี้ยอีกครั้ง, 3. ตลาดหุ้นต่างประเทศ 20% ของพอร์ต โดยเน้นไปที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จีน และเวียดนาม
4.ตลาดหุ้นไทย 20% ของพอร์ต ซึ่งจำเป็นต้อง “เลือก” ซื้อในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังมีความสามารถในการทำกำไรที่ดี และ 5.สินทรัพย์ทางเลือก อย่างทองคำ และกองทุนโครงสรางพื้นฐาน 15% ของพอร์ต
สำหรับกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด จะเป็นกลุ่มหุ้นที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง สร้างกระแสเงินสดได้ดี สามารถจ่ายเงินปันผลได้สม่ำเสมอ และได้ผลดีจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง “ชอบ” คือ SCB, KTB, MTC, CPALL, TRUE, CKP, ERW, SPA, MEGA และ DIF เป็นต้น