“บล.โกลเบล็ก” แนะหุ้นเด่นปี 68 ชู “กลุ่มแบงก์-ยางพารา-เทคโนโลยี”
บล.โกลเบล็ก ชี้กรอบ SET ปี 68 เคลื่อนไหว 1,330-1,530 จุด แนะลงทุน TISCO, BBL, KTB, TTB, CK, ATP30, AU, NER, PTG, BBGI, OKJ, WHA, DELTA โดดเด่น
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุวิผ่านงานสัมมนา โกลเบล็ก เพชรตัดเพชร พิชิตหุ้น 2568 คาดการณ์ SET Index ปี 68 เคลื่อนไหวบริเวณกรอบ 1,330-1,530 จุด โดยปัจจัยที่นักวิเคราะห์แนะนำติดตาม คือ ปัจจัยที่ส่งผลต่อ SET Index ในทิศทางที่เป็นบวก ได้แก่ 1.) ทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยมองว่าอาจมีการปรับลด 1-2 ครั้ง 2.) ภาพรวมเศรษฐกิจของคู่ค้าประเทศไทยกลับมาฟื้นตัวมากขึ้น 3.) การเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 67 และ 4.) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างโครงการ Easy E-Receipt, แจกเงิน 1 หมื่นบาท สำหรับผู้สูงอายุ
ส่วนปัจจัยลบที่ส่งผลต่อดัชนี SET Index คือ 1.) ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ 2.) เงินลงทุนต่างชาติ (Fund flow) ไหลออก 3.) ภาระหนี้ครัวเรือนปรับตัวสูง และ 4.) นโยบายกีดกันทางการค้าภายใต้ รัฐบาลทรัมป์ 2.0 อาทิ สงครามการค้า (Trade war) ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ สหรัฐ-จีน
ขณะที่ ฝ่ายนักวิเคราะห์แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในปี 68 มองหุ้น 6 กลุ่มหลักได้แก่ กลุ่มธนาคาร ได้แก่ BBL, KTB, TTB และ TISCO, กลุ่มโรงพยาบาล ได้แก่ BCH, กลุ่มรับเหมา CK, กลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการ Easy-E Receipt อาทิ CRC, COM7, ERW, CENTEL, MINT, M, AU, TNP, SIS, SYNEX, IP และ HL
รวมไปถึงกลุ่มหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากงาน Chat with Tony ได้แก่ VGI, BTS, BEM, GULF และ INTUCH นอกจากนี้ แนะนำกลุ่ม ESG (Environmental, Social, and Governance) ดีเยี่ยม อาทิ ADVANC, GULF, BBL, BEM, RATCH และ CPN สุดท้าย คือ กลุ่มหุ้น ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้แก่ ATP30, D, AU, TNP และ HL อย่างไรก็ตามฝ่ายนักวิเคราะห์แนะนำลงทุนหุ้นเด่นที่ “ชื่นชอบ” โดยเฉพาะ TISCO, BBL, KTB,TTB,CK,ATP30 และ AU เป็นต้น
ด้าน นายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด กล่าวเสริมว่า มีมุมมองบวกต่อการลงทุนใน Data Center โดยฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่าลูกค้าหลักที่ลงทุนในปัจจุบัน คือ สหรัฐฯ ซึ่งยังคงมีความสนใจในการลงทุนในภาคธุรกิจนี้ นอกจากนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์ยังชื่นชอบกลุ่ม นิคมอุตสาหกรรม อย่าง WHA ที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนของลูกค้าจากสหรัฐฯ และจีน ส่งผลให้ยอดขายที่ดินของบริษัทเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความสนใจหุ้น DELTA ฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่าราคาหุ้นยังคงมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น จากเทรนด์การเติบโตของ AI โดยเฉพาะการมาของ DeepSeek จากประเทศจีน ซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่าตลาด
รวมถึงยังมองบวกต่อหุ้นกลุ่มปั๊มแต่เน้นหุ้นที่มีธุรกิจ Non-Oil เช่น PTG โดยมองว่าธุรกิจ ร้านกาแฟพันธุ์ไทย ของบริษัทยังสามารถสร้างกำไรให้กับ PTG และเชื่อว่าบริษัทจะสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องจากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน รวมไปถึงแนะนำหุ้นอย่าง BBGI และ BCP
อีกทั้ง มีความความสนใจในหุ้น OKJ ซึ่งมีทิศทางการขยายธุรกิจร้านอาหารอย่างต่อเนื่อง และครัวกลาง พร้อมทั้งยังมีผู้ถือหุ้นร่วมคือ OR สุดท้ายคือ กลุ่มอุตสาหกรรมยางพารา มองว่าประเทศไทยเป็นผู้ผลิตยางพาราส่งออกอันดับต้นๆ ของโลก โดยเฉพาะการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งมองว่าอุตสาหกรรมนี้ยังแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคต โดยแนะนำหุ้น NER เป็นต้น โดยจากที่กล่าวมาข้างต้นฝ่ายนักวิเคราะห์ชื่นชอบหุ้น ได้แก่ NER, PTG, BBGI, OKJ, WHA, DELTA
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เนื่องจากสหรัฐขาดดุลการค้ากับไทย แต่โดยรวมฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่าประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโตจาก คือ ภาคการส่งออก การท่องเที่ยว และทิศทางการลงทุน ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการเติบโตในอนาคต
ขณะที่ จากผลการประชุมข กนง. ฝ่ายนักวิเคราะห์ได้สรุปว่า ดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องกับศักยภาพของเงินเฟ้อที่คาดว่าจะเคลื่อนเข้าสู่กรอบเป้าหมาย และช่วยรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว รวมทั้งสามารถรองรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้
ด้านเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัว แต่ยังมีความแตกต่างในแต่ละภาคส่วน โดยอัตราเงินเฟ้อทรงตัวใกล้เคียงกับขอบล่างของกรอบเป้าหมาย และคาดว่าเงินเฟ้อในระยะปานกลางจะยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมาย ในส่วนของสินเชื่อ พบว่าแนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่อชะลอตัวจากความต้องการลงทุนในบางธุรกิจที่ลดลง รวมถึงการชำระหนี้และความเสี่ยงด้านเครดิต ซึ่งต้องติดตามผลจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางอย่างใกล้ชิด