OSP ย้ำ “ฝาเหลือง” ไม่กระทบธุรกิจ ซุ่มเจรจา M&A ชูกลยุทธ์ 5 ปี ดันรายได้แตะ 4 หมื่นล้าน

OSP ซุ่มเจรจาลงทุน M&A ในประเทศ กางแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี (67-72) ดันยอดขายพุ่ง 4 หมื่นล้านบาทมั่นใจเดินเกมรุก M-150 ราคา 10 บาท ดึงมาร์เก็ตแชร์เพิ่ม 3% จากปัจจุบันอยู่ที่ 30% ย้ำไม่กระทบธุรกิจ ฐานะการเงินแข็งแกร่ง ขายสินค้าหลากหลาย


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ ( 4 ก.พ.68) นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP เปิดเผยว่า บริษัทยังมีความมั่นใจกับแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี (ปี 2567-2572) จะพยายามผลักดันยอดขายไปสู่เป้าหมาย 40,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 9% ต่อปี และยังเดินหน้าศึกษา หรือพิจารณาเข้าควบรวม หรือซื้อกิจการ (M&A) ตามกลยุทธ์ ซึ่งจะเน้นในกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มและสินค้าเครื่องใช้ส่วนบุคคล ตลอดจนธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่สามารถต่อยอดการเติบโตของกลุ่มธุรกิจหลัก หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบต่อไป ซึ่งเบื้องต้นจะเน้นการเจรจาอยู่ในประเทศไทยเป็นหลัก

โดย OSP จะนำของดี หรือธุรกิจเด่น มาต่อยอดให้สร้างประสิทธิภาพสูงสุดกว่าเดิมที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่มา 134 ปี มองทุกก้าวไปสู่ความยั่งยืน และมีการขายผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย หลังทุกคนมีภาพจำว่า OSP  พึ่งพา M-150 มากเกินไป แม้จะมีสัดส่วนรายได้ 30% ของรายได้รวม  ขณะที่ราคาหุ้น OSP ที่ปรับตัวลดลงมา 4-5 วันที่ผ่านมา มองว่าน่าจะเป็นกระแสข่าวเรื่องการแข่งขันของธุรกิจ  และการเสียส่วนแบ่งการตลาดจากการปรับราคา M-150 และปัจจัยอื่น บริษัทมองว่าตลาดค่อนข้างกังวลเกินไป และฐานะทางการเงินของ OSP ค่อนข้างดี รวมทั้งไม่มีการนำหุ้นบริษัทจำนำอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ บริษัทเดินหน้าผลักดันการเติบโตของตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง และตอกย้ำตำแหน่งผู้นำอันดับ 1 ของ M-150 ที่อยู่คู่คนไทยทุกอาชีพ ทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ หลากหลายราคา ตอบโจทย์ความต้องการพลังงานที่แตกต่างกัน  ตั้งแต่ M-150 ขวดแก้วราคา 12 บาท, รสน้ำผึ้งราคา 10 บาท, M-Sparkling ในรูปแบบกระป๋องอัดก๊าซ ราคา 20 บาท  และล่าสุดออกแคมเปญฉลอง 40 ปี M-150 ฝาเหลืองลิมิเต็ดเอดิชั่นราคา 10 บาท  เพื่อตอบแทนผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มต่างจังหวัดที่ได้รับความกดดันด้านรายได้ นอกจากนี้บริษัทยังได้เตรียมแผนสร้างการเติบโตให้กลุ่มผลิตภัณฑ์ M-150 ต่อเนื่องตลอดปี พร้อมขยายช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ๆ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง

“การปรับราคาผลิตภัณฑ์ M-150 ให้ขึ้นมาระดับ 12 บาท เป็นความภาคภูมิใจของบริษัทที่ยังเห็นกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มนี้ตามมา ถ้าแบรนด์ไม่แข็งแรงจริงคนกลุ่มนี้จะไม่ตามมา การมีผ่อนราคาที่หลายราคา มองเป็นการตลาดแบบหนึ่ง และมองคนละเกมกับคู่แข่ง ซึ่งสามารถจับได้ทั้งผู้บริโภคที่เคยบริโภคผลิตภัณฑ์ M-150 อยู่แล้ว ผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ M-150 แต่น้อยลง ให้กลับมาอีกครั้ง ผู้บริโภคที่ยังไม่เคยลองผลิตภัณฑ์ M-150 ผู้บริโภคที่ที่เริ่มต้นสู่การบริโภคเครื่องดื่มชูกำลัง อดีต OSP ผลิตภัณฑ์ M-150 มีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) อยู่ที่ 35% และลดลงเหลือ 32% โดยเราพยายามที่จะผลักดัน 3% กลับคืนมาให้ได้” นางวรรณิภา กล่าว

ขณะที่ ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2567 คาดว่าจะเห็นการเติบโตจากปีก่อน ซึ่งจะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่ออนุมัติงบการเงิน และประกาศงบฯในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2568 จะเป็นปีที่ดีเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 และจะเห็นการเติบโตอย่างเต็มที่หลังจากมีการปรับโครงสร้างองค์กร และเพิ่มประสิทธิภาพผ่านโครงการส่วนต่างๆ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2568 ตั้งเป้าหมายจะมียอดขายเติบโตเป็นอย่างน้อยเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับกลาง ตามการขยายตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมทั้งจะมีการทยอยออกนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกกลุ่มในเครือ ตอกย้ำกลยุทธ์ความหลากหลายของกลุ่มผลิตภัณฑ์ (Brand Portfolio) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคให้มากขึ้นกว่าเดิม และต่อยอดกิจกรรมทางการตลาดที่ประสบความสำเร็จในประเทศไปสู่ต่างประเทศด้วย

ทั้งนี้ บริษัทได้เสริมทัพผู้บริหาร เสริมแกร่งธุรกิจ โดยโอสถสภาปรับเปลี่ยนองค์กรให้มีโครงสร้าง และกระบวนการทำงานเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต  เสริมทีมผู้บริหารด้านธุรกิจเครื่องดื่มโดยเฉพาะ เปลี่ยนจากการบริหารแบบ Functional structure สู่ Category structure อย่างชัดเจนเพื่อเสริมศักยภาพและเพิ่มความคล่องตัว โดยมีตนเองเข้ามาควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มเครื่องดื่มในประเทศ (Group Chief Domestic Beverage Officer) นำทัพกำหนดทิศทางและวางกลยุทธ์ธุรกิจเครื่องดื่ม เสริมด้วย Chief Marketing & Innovation Officer นำทีมการวิจัยการตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์, Chief Consumer & Category Officer ดูแลการตลาดและ Trade Marketing  และ Chief Customer & Channel Officer พัฒนาและขยายศักยภาพช่องทางการจัดจำหน่าย

นอกจากนี้ ได้ทรานส์ฟอร์มองค์กร เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาบริหารจัดการข้อมูลและกระบวนการทำงาน ผลักดันเป้าหมายด้านความยั่งยืนอย่างเข้มข้น  พร้อมเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรผ่านโมเดล “ACT” ซึ่งมุ่งเน้น Achievement (ความสำเร็จ), Consumer Focus (ชนะใจลูกค้า) และ Teamwork (คว้าชัยเป็นทีม) ที่จะทำให้พนักงานและองค์กรสามารถปรับตัว เติบโต และเผชิญความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว

“OSP จะเร่งเครื่องผลักดันธุรกิจเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและลูกอมให้เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ และการตลาดที่ก้าวล้ำนำเทรนด์ รวมถึงต่อยอดแบรนด์ศักยภาพ ขยายสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ สะท้อนการมีจุดแข็งในการมีพอร์ตโฟลิโอสินค้าที่หลากหลาย และเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์  ตอบรับความต้องการของ Gen Z, มิลเลนเนียล และผู้สูงอายุ และเทรนด์ด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี” นางวรรณิภา กล่าว

นอกจากนี้ ยังได้เดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมขยายพอร์ตเครื่องดื่มฟังชันนัลดริงก์ ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่และเทรนด์สุขภาพ  โดยมี ”ซีวิท” ซึ่งโอสถสภาเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของวิตามินซี  และ “เปปทีน” ที่เป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มบำรุงสมองและกำลังเติบโตอย่างโดดเด่น  ส่วนเครื่องดื่มคาลพิสมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังเตรียมส่งนวัตกรรมเครื่องดื่มออกสู่ตลาดอีกมากมาย อาทิ เครื่องดื่มแก้แฮงค์ ซึ่งมีโอกาสและศักยภาพสูง สอดรับกับมูลค่าตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทยที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และไลฟ์สไตล์การดื่มสังสรรค์ที่เริ่มกลับมาอีกครั้ง

ขณะที่การสร้างการเติบโตกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล โดย “เบบี้มายด์” เป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์อาบน้ำสำหรับเด็ก และกำลังก้าวขึ้นชิงตำแหน่งผู้นำตลาดแป้งเด็ก พร้อมต่อยอดจุดแข็ง “ความอ่อนโยนและความหอม” ขยายสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ  อาทิ  เบบี้มายด์ แอนด์ บียอนด์ ที่ขยายตลาดให้ครอบคลุมทุกคนในครอบครัว  และสร้างสรรค์กลยุทธ์การตลาดที่นำเทรนด์เช่น Trendsetter collaboration กับ น้องหมีเนย Butterbear ในปีที่ผ่านมา  ในขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลมีการเติบโตที่ดีต่อเนื่องในตลาดต่างประเทศ

ส่วนการสร้างการเติบโตของธุรกิจเครื่องดื่มในต่างประเทศ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นอกเหนือจากเมียนมา และลาวที่โอสถสภาเป็นผู้นำอันดับ 1 อยู่แล้ว ล่าสุดเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ได้เริ่มรุกตลาดสู่เวียดนาม ซึ่งมีศักยภาพและอัตราการเติบโตสูง  โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแบบ 2-in-1 Energy + Rehydration เพื่อสร้างความแตกต่างและตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ในเวียดนาม ซึ่งอยู่ระหว่างการประเมินแนวทางของตลาดว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร และยังมองหาตลาดอื่นด้วย ทั้งนี้  สิ้นปี 2567 มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเฉลี่ย  25% และในปี 2568 มองว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 25% บนฐานที่ใหญ่ขึ้นทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

ทั้งนี้ บริษัทไม่ได้มองเพียงแค่การเติบโตในระยะสั้น แต่ได้ให้ความสำคัญกับการวางรากฐานเพื่อสร้างธุรกิจแห่งอนาคตด้วยแนวคิด Human Touch with Right Technology ที่ผสานความเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้งเข้ากับการเลือกใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด  จะเป็นจุดแข็งที่ทำให้โอสถสภาตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย สร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่า และเชื่อมต่อแบรนด์เข้ากับวิถีชีวิตผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างลงตัว  ซึ่งจะทำให้โอสถสภาครองความเป็นผู้นำ และก้าวสู่เป้าหมายการเติบโตระยะยาวที่ตั้งไว้

Back to top button