“กรภัทร” มอง SET สร้างฐาน! แนะลงทุน 3 หุ้นกลุ่ม Domestic Play

กรภัทร วรเชษฐ์ มอง SET แกว่งสร้างฐาน บริเวณแนวรับที่ 1,276-1,270 จุด แนวต้าน 1,300-1,305 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุน ตั้งรับเลือกลงทุนหุ้นรายตัวกลุ่ม Domestic Play ชู KTB ลุ้นซื้อหุ้นคืน พ่วง GULF- MTC รับบอนด์ยีลด์ปรับตัวลง


นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วันนี้ (6 ก.พ.68) ว่า SET Index อยู่ในช่วงการสร้างฐาน โดยให้แนวรับที่ 1,276-1,270 จุด แนวต้าน 1,300-1,305 จุด

สำหรับกรณีที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เตรียมนำเกณฑ์ Capped Weight” มาใช้เพื่อลดความผันผวนของดัชนี นั้น ฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่าในระยะกลางถึงยาว มาตรการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับตลาดหุ้น โดยคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อหุ้นที่มีน้ำหนักมากในตลาดเพียงตัวเดียวเท่านั้น

ส่วนระยะสั้น หากตลาดหุ้นมีการนำเกณฑ์ Capped Weight มาใช้ จะต้องมีการปรับน้ำหนักของหุ้นในดัชนีเสียก่อน โดยฝ่ายนักวิเคราะห์ได้ประเมินเบื้องต้นว่า หากการปรับน้ำหนักของหุ้นที่มีผลต่อดัชนีเกิน 10% เช่น กรณีของ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ที่อาจลดลงประมาณ 2-3% อาจส่งผลให้มีเม็ดเงินจากกองทุน SET50FF และ SET100FF ถูกขายออกประมาณ 1,500-1,600 ล้านบาท ทั้งนี้ ภาพรวมจากเมื่อวาน 5 ก.พ. ตลาดได้มีการรับรู้ถึงปัจจัยดังกล่าวไปบ้างแล้ว และฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่า ผลกระทบจากเรื่องนี้เริ่มคลี่คลายลงแล้ว

ในระยะถัดไปมองว่าตลาดจะให้ความสนใจกับหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์เชิงบวกจากการเพิ่มน้ำหนักในดัชนี โดยหากถามถึงหุ้นที่มีแนวโน้มจะถูกปรับเพิ่มน้ำหนัก ตลาดคาดว่าจะเป็นกลุ่มหุ้นที่มีน้ำหนักรองลงมาทั้งหมด เช่น PTT, ADVANC, AOT, GULF, PTTEP, CPALL รวมไปถึง กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น

ขณะที่ ภาพรวมหากมองประเด็นการเพิ่มน้ำหลักประกอบทิศทางธุรกิจกลุ่มนี้ในอนาคต ฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่า หุ้นในกลุ่ม Domestic Play เช่น ธนาคารพาณิชย์, ICT, กลุ่ม Data center อย่าง GULF, กลุ่มท่องเที่ยวอย่าง AOT และ CPALL มีโอกาสฟื้นตัวได้ดีเนื่องจากสามารถเลี่ยงความเสี่ยงจาก ภาวะสงครามการค้า (Trade War) โดยเฉพาะในกรณีของธนาคารพาณิชย์และกลุ่ม ICT ซึ่งคาดว่าจะช่วยประคองดัชนี SET Index ได้ในอนาคต

ทั้งนี้ ปัจจัยภายนอกที่มีอิทธิพลต่อทิศทางของตลาดยังคงเป็นบวก แม้ว่าภาพรวมจะยังคงอยู่ในระยะกลาง-บวก โดยแรงสนับสนุนมาจากประเด็นที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เท่าที่ควร แต่มุ่งเน้นการกดดัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี (Bond Yield) ลดลงประมาณ 44% ซึ่งอาจเป็นตัวช่วยให้อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity) สูงขึ้น และมีโอกาสช่วยสนับสนุนตลาดทุนในเอเชีย รวมทั้งตลาดหุ้นไทยให้ฟื้นตัวได้

โดย SET Index วันนี้ อยู่ในช่วงสร้างฐาน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยบวกที่สนับสนุนตลาด ได้แก่ ตัวเลขการท่องเที่ยวที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และการที่รัฐบาลได้อนุมัติ โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย ด้วยกรอบวงเงินงบประมาณ 341,351.42 ล้านบาท ซึ่งเป็นสัญญาณของการเติบโตในภาคการลงทุน (Investment) อย่างต่อเนื่อง รวมถึงทิศทางการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ที่เพิ่มขึ้น

ฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่าจากปัจจัยเหล่านี้ อาจนำไปสู่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนผ่านการตั้งรับและการเลือกลงทุนในหุ้นรายตัว โดยเฉพาะกลุ่มหุ้น Domestic Play

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนวันนี้ นักวิเคราะห์ได้แนะนำหุ้นเด่น คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ซึ่งมีโอกาสที่จะดำเนินการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) ในอนาคต หลังจากที่ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ ปัจจุบันไม่เพียงแต่ในประเทศที่เริ่มมีการซื้อหุ้นคืนเท่านั้น แต่ธนาคารขนาดใหญ่ใน ประเทศอินโดนีเซีย เองก็เริ่มดำเนินธุรกรรมดังกล่าวเช่นกัน โดยมีระยะเวลาในการซื้อหุ้นคืนต่อเนื่องประมาณ 1 ปี ซึ่งสะท้อนว่า ราคาหุ้นของบริษัทในทวีปอาเซียนหลายแห่งในปัจจุบันยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของบริษัท การซื้อหุ้นคืนจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการเพิ่มความเชื่อมั่นต่อตลาด อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับสภาพคล่องภายในบริษัทด้วยว่ามีความเพียงพอหรือไม่

ฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่าอีก 2 หุ้นที่น่าสนใจจากปัจจัยการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ได้แก่ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF และกลุ่มไฟแนนซ์ อย่าง บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ต้องระมัดระวังในการลงทุนยังคงเป็นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากปัจจัยความไม่แน่นอนจากภาวะสงครามการค้า ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นมีความผันผวน นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวคาดการณ์ว่า ยอดขายของ DELTA ในเดือนมกราคมที่ผ่านมาอาจมีการเติบโตที่ดี โดยต้องจับตาการประกาศตัวเลขยอดขายอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 8-11 กุมภาพันธ์ 2568 หากตัวเลขออกมาตามที่คาดการณ์ จะช่วยสนับสนุนภาพรวมของตลาดในกลุ่ม Power Supply ให้เติบโตต่อไป

Back to top button