CPALL ปัดข่าวจับมือ 2 แบงก์ใหญ่สหรัฐฯ ปิดดีลซื้อ “Seven & I”

CPALL แจง ตลท. ยังไม่มีการดำเนินการ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากที่เคยแจ้งไว้ ปมค้าปลีกญี่ปุ่นมองหาผู้ร่วมลงทุน หลังสื่อนอกตีข่าว สะพัดจับมือ 2 แบงก์ใหญ่สหรัฐฯ ปิดดีลซื้อ “Seven & I”


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (7 ก.พ.68) นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ทำหนังสือชี้แจงไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หลังมีกระแสข่าวว่า บริษัทฯ ได้เข้าทาบทาม ธนาคารของประเทศสหรัฐฯ สองแห่ง ให้เป็นผู้สนับสนุนทางการเงินในการเข้าร่วมลงทุน เพื่อซื้อกิจการของ Seven & i Holdings Co. ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ 7-Eleven ทั่วโลก

โดย นายเกรียงชัย ระบุว่า ปัจจุบัน บริษัทฯ ยังไม่มีการดำเนินการ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากที่เคยแจ้งไว้ ทั้งนี้ หากบริษัทฯ มีการดำเนินการใด ๆ บริษัทจะทำการชี้แจงต่อสาธารณะ ผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 31 ม.ค.68 เนื้อหาในหนังสือชี้แจง ของ CPALL ระบุว่า ตามที่ปรากฏข่าวโดยสื่อต่างประเทศ เรื่องบริษัทค้าปลีกญี่ปุ่น มองหาผู้ร่วมลงทุนหลายราย ซึ่งบริษัทฯ เป็นหนึ่งในชื่อผู้ถูกอ้างถึงในข่าว โดยยังไม่มีข้อสรุปเงื่อนไข และการคัดเลือกผู้ร่วมลงทุนแต่ประการใด บริษัทมีนโยบายการลงทุนที่มุ่งเน้นการเติบโตของธุรกิจ ในกรณีที่บริษัทฯ พิจารณาข้อเสนอใดๆ ในการลงทุน บริษัทฯ จะดำเนินการด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง โดยเน้นประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัทฯ เป็นสำคัญ

ขณะที่ล่าสุดสำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า CPALL อาจตั้งกิจการค้าร่วม เพื่อจะเข้าบริหารจัดการซื้อกิจการ Seven & i โดยมี Citi และ Bank of America (BofA) เป็นผู้สนับสนุนทางการเงินหลักของกลุ่ม โดยคาดว่า CPALL อาจเข้าซื้อกิจการสัดส่วนที่เป็นมูลค่าประมาณ 500,000 ล้านเยน (ประมาณ 110 ,000 ล้านบาท)

โดยนักวิเคราะห์ระบุว่า หาก CPALL ใช้วิธีการกู้ยืมมาเพื่อเข้าซื้อกิจการทั้งหมด อัตราส่วนหนี้ต่อทุน (Gearing) ของ CPALL จะเพิ่มขึ้นจาก 0.8 เท่า เป็น 1.15 เท่า จะยังคงต่ำกว่าระดับการเงินที่ต้องดำรง (Debt Covenant Ratio) ที่อยู่ที่ 2.0 เท่า แม้ว่าตัวเลขมูลค่าการซื้อกิจการทั้งหมดจะยังไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่มีการคาดการณ์กันว่าตัวเลขอาจอยู่ที่ประมาณ 9 ล้านล้านเยน หากอ้างอิงตัวเลขดังกล่าว จะเท่ากับว่า CPALL จะเข้าถือหุ้นอยู่ที่ราว 5.6%

ทั้งนี้ หากตั้งสมมติฐานค่าใช้จ่ายของอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4% จะส่งผลต่อกำไรปี 2568 อยู่ที่ 3.7% ทำให้เรื่องดังกล่าวจะยังคงเป็นปัจจัยกดดันหุ้นต่อไป แม้จะมองว่าการเติบโตของกำไรในอนาคตจะค่อนข้างคงที่ก็ตาม

Back to top button