![](https://media.kaohoon.com/wp-content/uploads/2024/06/SET-Stock_2024-06-21.jpg)
“บล.กรุงศรี” มอง SET สัปดาห์นี้ “รีบาวด์” จับตาข้อมูลเศรษฐกิจ “สหรัฐ” แนะลงทุน 3 หุ้นเด่น
บล.กรุงศรี มอง SET สัปดาห์นี้ “รีบาวด์” จับตาตัวเลขเงินเฟ้อและยอดค้าปลีกสหรัฐ โบรกแนะหุ้นเด่น BDMS, CPALL และ MINT พร้อมมองกรอบดัชนีเคลื่อนไหวแนวรับ 1,266-1,252 จุด แนวต้าน 1,316 - 1,335 จุด
“สำนักข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้รวบรวมกลยุทธ์การลงทุนสัปดาห์นี้ระหว่างวันที่ (11 ก.พ. – 15 ก.พ.68) ซึ่งเป็นบทวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS ประเมินตลาดหุ้นไทย “รีบาวด์” ให้กรอบแนวรับที่ 1,266-1,252 จุด แนวต้าน 1,316 – 1,335 จุด โดยมีปัจจัยที่ส่งผลต่อดัชนี SET Index ที่ต้องติดตาม ได้แก่
วันที่ 11 ก.พ.68 ติดตามการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และรายงานนักท่องเที่ยวต่างชาติรายสัปดาห์ระหว่างวันที่ 10-14 ก.พ. พร้อมกับติดตามรายงานกำไรหุ้น Real Sector อาทิ AOT, MINT, TOP และ DELTA ซึ่งเป็นหุ้นที่ฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์รายงานกำไรออกมาดี
ส่วนปัจจัยภายนอกประเทศที่มีผลต่อดัชนี SET Index ได้แก่ วันที่ 12 ก.พ. แนะนำนักลงทุนติดตามตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ (CPI) ประจำเดือน ม.ค. ซึ่งฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปจะเพิ่มขึ้น 0.3% จากเดือนก่อน (m/m) และเพิ่มขึ้น 2.9% จากปีก่อน (y/y) เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.4% และ เพิ่มขึ้น 2.9% จากปีก่อน แสดงให้เห็นว่าอัตราการเพิ่มขึ้นรายเดือนชะลอลงเล็กน้อย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อรายปีคงที่
ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานคาดการณ์เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อน และเพิ่มขึ้น 3.2% จากปีก่อน เทียบกับตัวเลขเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้น 0.3% และ เพิ่มขึ้น 3.1% จากปีก่อน
ขณะที่วันที่ 13 ก.พ. จะมีการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อผู้ผลิต (PPI) ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อนเท่ากับอัตราของเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้วันที่ 14 ก.พ. ติดตามยอดค้าปลีกประจำเดือน ม.ค. คาดการณ์ทรงตัวที่ 0.0% จากเดือนก่อน และชะลอตัวลงจากเดือนก่อนที่เติบโต 0.4% จากเดือนก่อนหน้า
อีกทั้ง แนะนำติดตามยอดผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือน ม.ค. คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% จากเดือนก่อน แต่ขยายตัว 0.9% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
รวมไปถึงติดตาม ยอดผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ธ.ค. ของยุโรป ซึ่งจะเปิดตัวเลขในวันที่ 13 ก.พ. ฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์ ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เท่าเดือนก่อน นอกจากนี้วันที่ 14 ก.พ. คาดการณ์มีการประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 4/67 ครั้งแรก คาดการณ์เพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเท่าไตรมาสก่อน
ทั้งนี้จากปัจจัยต่างๆ ที่นักลงทุนต้องติดตามนั้น ฝ่ายนักวิเคราะห์แนะนำ “กลยุทธ์การลงทุน” ปรับฐานลึกในสัปดาห์ที่ผ่านมา จากแรงขายการล่วงหน้าต่อแนวทางการ จำกัดน้ำหนักหุ้นในดัชนีหลัก ส่งผลให้มีแรงเร่งขาย DELTA ซึ่ง Passive Fund มีน้ำหนักเกิน -1,600 ล้านบาท แต่ช่วงวันพุธ-พฤหัส มีการปรับสถานะกว่า 7 พันล้านบาท สร้าง Momentum ลบต่อตลาดเกิด “Panic Sell” หุ้นรายตัว
อย่างไรก็ดี ระดับ SET ต่ำกว่า 1,300 จุด เป็นจุดที่ Current Equity Risk Premium สูงใกล้ AVG +1.5 S.D. ผสานมุมมองการประเมินอีก 4 มิติ ค่า PER, PBV, Dividend Yield และ Expected GDP บ่งชี้ตลาด Deep Value อย่างแท้จริง ทำให้เห็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Funds) เริ่มเข้ามาสะสมหนุนตลาดฟื้นมาบ้าง โดยเฉพาะเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flows) ขณะที่สัปดาห์หน้าคาดการณ์เงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ทรง-ลดลงเล็กน้อย น่าจะเป็นจิตวิทยาบวกต่อ SET ฟื้นตัว
ทั้งนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์แนะนำลงทุนหุ้นที่มีราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน (Theme 7 Value Stocks) คือ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO ผสานหุ้น Dividend Plays อย่างกลุ่มธนาคารและสื่อสาร ซึ่งมีหุ้นเด่ประจำสัปดาห์ คือ BDMS, CPALL และ MINT
โดย บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์หุ้นปรับฐานลึกจนมีค่า PER ที่คาดการณ์ไว้ในปี 2568 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตมาก โดยอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยถึง 2.35 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานขณะที่ภาพสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ไม่เปลี่ยนฝ่ายนักวิเคราะห์มองเป็นโอกาสลงทุนยาว แนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 37.5 บาท
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL คาดการณ์กรอบวงเงินลงทุน Seven & I มีความชัดขึ้นและกระทบน้อยกว่าที่ตลาดกังวล ซึ่งแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 70 บาท
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ฝ่ายนักวิเคราะห์ คาดการณ์ว่า ภาคบริการโลกและไทยมี แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 38 บาท
อย่างไรก็ตามแนะนำนักลงทุนติดตามทิศทาง “ฟันด์โฟลว์” สัปดาห์ที่แล้วเงินทุนไหลออก (หุ้น+พันธบัตร) ภูมิภาค Asia (exJ) 1950.18 ล้านเหรียญฯ ไทยเงินไหลออก 232.3 ล้านเหรียญฯ (ซื้อหุ้น 74.2 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร 158.1 ล้านเหรียญฯ) เงินบาทแข็งค่าทรงตัว w-w ที่ 33.6 +/-บาท