PJW เคาะเพิ่มวงเงิน “ซื้อหุ้นคืน” ใหม่ 100 ล้านบาท ดึงความเชื่อมั่นนักลงทุน

บอร์ด PJW อนุมัติเพิ่มวงเงิน “ซื้อหุ้นคืน” อีก 50 ล้าน รวมเป็น 100 ล้านบาท เดินหน้าซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น ตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค.67 ถึง 13 มิ.ย. 68 สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน


นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประกาศเดินตอกย้ำตามแผนการซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น หวังบริหารสภาพคล่อง รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน และดูแลผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น เพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) โดยล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ  เมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ได้มีมติแก้ไขวงเงินสูงสุดที่ใช้ในการซื้อหุ้นคืนเพิ่มเป็น 100 ล้านบาท จากเดิม 50 ล้านบาท

ขณะที่ การเพิ่มวงเงินการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้ เนื่องจากบริษัทฯมั่นใจในธุรกิจต่างๆ ของบริษัทที่เริ่มมียอดขายกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ที่มีการเติบโตทั้งกลุ่มบรรจุภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น กลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหาร และกลุ่มบรรจุภัณฑ์สินค้าเคมีและอุปโภคบริโภค รวมถึงกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ที่จะมีงานนิวโมเดลเข้ามาในปีหน้า รวมถึงธุรกิจลอนดรี้ ที่มีการขยายการลงทุนต่อเนื่องจากปีก่อนจนถึงกลางปีนี้ ซึ่งจะทำให้ได้ยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ ที่ผ่านมาบริษัทมีการลงทุนด้านออโตเมชั่น และบริหารจัดการต้นทุนอย่างเข้มงวด รวมถึงพิจารณาการลงทุนในโครงการต่างๆและดูแลงบประมาณรายจ่ายอย่างระมัดระวังในสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ทำให้คณะกรรมการบริหารมีความมั่นใจว่าภาพรวมบริษัทจะเติบโตด้านยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น นอกจากนี้ เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินที่สูงขึ้น จากการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่ดีขึ้น รวมถึงเป็นการบริหารการเงินเพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้แก่ส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้น ในอนาคตสามารถสะท้อน มูลค่าที่แท้จริงของกลุ่มบริษัทฯ

รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นต่อสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ ในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทฯ เริ่มดำเนินการซื้อหุ้นคืนผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านแล้ว และจะครบกำหนดกรอบระยะเวลาในการซื้อหุ้นคืนวันที่ 13 มิถุนายน 2568

“การซื้อหุ้นคืนครั้งนี้ ส่งผลบวกต่อผู้ถือหุ้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงการเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้แก่ส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) อัตรากำไรสุทธิ (EPS) และเพิ่มมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Book Value Per Share) ที่สำคัญราคาหุ้น ที่เคลื่อนไหวในปัจจุบันต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงของ บริษัทฯ ดังนั้น จากปัจจัยดังกล่าวจึงเป็นสาเหตุให้คณะกรรมการบริษัทฯพิจารณาตัดสินใจเข้าโครงการซื้อหุ้นคืน เพื่อสนับสนุนการสร้างการเติบโตของธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ รวมถึงเป็นการสร้างผลตอบแทนและความมั่นใจให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว” นายวิวรรธน์ กล่าว

นายวิวรรธน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า บริษัทฯ มองหาธุรกิจที่เป็น NewS-curve ใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัจจุบัน บริษัทฯ มี 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.กลุ่มบรรจุภัณฑ์ 2.กลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ และ 3.กลุ่มธุรกิจ Healthcare ดังนั้นธุรกิจ New S-curve ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้บริษัทฯ ประมาณการณ์การเติบโตในปี 2568 เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

โดยคาดการอัตราการเติบโตกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 20 % จาก 18 % เป็น 20-23 % เป็นผลมาจากกลุ่มธุรกิจใหม่ (New S-curve) อย่างกลุ่มธุรกิจ Healthcare  ซึ่งกลุ่มธุรกิจดังกล่าว เริ่มสร้างรายได้ให้บริษัทฯ ผลักดันผลการดำเนินงานในปีนี้เติบโตแบบก้าวกระโดด ทำให้ในปีนี้ บริษัทฯ จะมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจ Healthcare อยู่ที่ระดับ 20-25% และในปี 2569 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 3 ของรายได้รวม เนื่องจาก บริษัทฯ จะมีรายได้จากการจำหน่ายวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ เช่น Oxygen Humidifier, สายยางสำหรับผู้ป่วยฟอกไตและถุงน้ำยาล้างไตผ่านหน้าท้อง

Back to top button