![](https://media.kaohoon.com/wp-content/uploads/2025/02/Euro-Stockmarket_2025-02-05_up_0.jpg)
ตลาดหุ้น “ยุโรป” ทำนิวไฮ! 4 ดัชนีรับแรงหนุนหุ้นกลุ่ม “พลังงาน”
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หุ้นพลังงานนำพุ่งแรง รับราคาน้ำมันขาขึ้น ขณะที่ เหล็กยุโรปถูกกดดันจากคำสั่ง “ทรัมป์” เพิ่มภาษีนำเข้าล่าสุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก ในวันจันทร์ (10 ก.พ.68) ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงาน ขณะที่นักลงทุนประเมินผลกระทบจากคำเตือนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม
- ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 545.92 จุด เพิ่มขึ้น 3.17 จุด หรือ +0.58%
- ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,006.22 จุด เพิ่มขึ้น 33.19 จุด หรือ +0.42%
- ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 21,911.74 จุด เพิ่มขึ้น 124.74 จุด หรือ +0.57%
- ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,767.80 จุด เพิ่มขึ้น 67.27 จุด หรือ +0.77%
ขณะที่ หุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซ ปรับตัวขึ้น 1.5% นำโดยหุ้น BP ที่พุ่งขึ้น 7.3% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นในวันเดียวมากที่สุดในรอบ กว่า 2 ปี หลังมีรายงานว่า Elliott Investment Management เข้าลงทุนในบริษัท ซึ่งคาดว่าจะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ยังช่วยหนุนหุ้นพลังงาน หลัง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาระบุว่า สหรัฐฯ เตรียมประกาศมาตรการเก็บภาษีนำเข้าใหม่ 25% สำหรับเหล็กและอะลูมิเนียม พร้อมกับมาตรการภาษีตอบโต้กับประเทศคู่ค้า ตั้งแต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ด้าน หุ้นกลุ่มเหล็ก ได้รับแรงกดดันจากแผนภาษีนำเข้าสหรัฐฯ โดยหุ้น ArcelorMittal ลดลง 0.6% และหุ้น Voestalpine ร่วง 1% เนื่องจากสหรัฐฯ นำเข้าเหล็กจากยุโรปราว 15% ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมด
คริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ออกมาเตือนว่า ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และยุโรป อาจทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อของพื้นที่ยุโรป หรือ ยูโรโซน (eurozone) มีความไม่แน่นอนมากขึ้น นักลงทุนยังคงจับตาท่าทีของ ECB ต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงินในระยะต่อไป
ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวของนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมของยุโรป ขณะเดียวกันราคาน้ำมันยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนตลาด แต่ทั้งนี้ยังคงต้องติดตามต่อไปว่าราคาจะเคลื่อนไหวในทิศทางใด