จับตา “ธุรกิจรพ.” ปี 68 โต 6% รับผู้ป่วยต่างชาติ-ไทย ขยายตัว ชู PR9-BDMS ท็อปพิก!

โบรกฯ มองธุรกิจโรงพยาบาลปี 68 สดใส คาดรายได้รวมแตะ 3.44 แสนล้านบาท โต 5.60% แนะเก็บ BDMS-CHG-RJH-EKH-BCH-PR9-LPH-VIBHA อัพไซด์เด่น หลังปัจจัยลบคลี่คลาย ผนวก Medical Tourism และสิทธิ์รักษาภาครัฐหนุน ชู PR9-BDMS ท็อปพิก


ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (14 ก.พ.68) อ้างอิง ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC ระบุผ่านบทความถึงทิศทางรายได้ ธุรกิจโรงพยาบาล เอกชนไทย ปี 2568 คาดการณ์เติบโต 5.60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจัยบวกมาจากการขยายตัวของรายได้ผู้ป่วยชาวต่างชาติที่เติบโต 7.60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังผลกระทบจากการเปลี่ยนนโยบายการส่งผู้ป่วยจากคูเวตในปีที่ 2567 ลดงลง

ส่วนรายได้จากผู้ป่วยชาวไทยคาดเติบโต 5.20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าจะชะลอตัวเล็กน้อยจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่การขยายตัวของประกันสุขภาพและการจ่ายเงินสำหรับกลุ่มโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงจะช่วยเสริมการเติบโต

ส่วนเทรนด์ที่น่าสนใจธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน ได้แก่ 1.) เทรนด์สุขภาพและเวลเนสจากผู้บริโภคที่ใส่ใจการดูแลสุขภาพ 2.) เทรนด์เทคโนโลยีการแพทย์ (Health Tech)  3.) เทรนด์ ESG ที่ต้องปรับตัวเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ทั้งนี้ ปี 2568 รายได้ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องราว 3.44 แสนล้านบาท จากกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติ และกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยที่เติบโตปานกลาง อีกทั้ง ยังมีแรงสนับสนุนจาก Mega trends ด้านสุขภาพ ซึ่งรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติเติบโตดีตามจำนวนนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ส่วนรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยยังคงขยายตัวได้ปานกลางจากกำลังซื้อที่ชะลอตัว

ขณะที่ จากบทความดังกล่าว “สำนักข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้นำบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ที่ระบุถึงทิศทางธุรกิจโรงพยาบาล อาทิ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2568 กลุ่มรพ. ที่ศึกษาจะมีกำไรรวมเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 ซึ่งคาดกำไรรวมเติบโต 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากคาดว่ารายได้รักษาพยาบาลเติบโตตามการใช้บริการและ Intensity ค่ารักษาสูงขึ้น รวมทั้งมี Economies of scale ของการใช้บริการเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ คงน้ำหนักลงทุนจากแนวโน้มขาขึ้น (Bullish) สำหรับกลุ่มจากปัจจัยสนับสนุน คือ 1.) กลุ่มผู้สูงอายุที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ทำให้ Intensity ค่ารักษาโรคยากซับซ้อนของรพ.มีแนวโน้มสูงขึ้น, 2.) คาดประกันแบบ Copayment มีผลกระทบจำกัด, 3.) การเพิ่มสิทธิประโยชน์การรักษาของภาครัฐ (ตรวจคัดกรองโรค,มะเร็งรักษาทุกที่) และการันตีจ่ายค่ารักษาประกันสังคม RW>2 สำหรับงบฯ ปี 2568 ทำให้รายได้ประกันสังคมปีนี้ มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น และ 4.) ได้ประโยชน์จากการเติบโตของตลาด Medical Tourism

โดยหุ้นกลุ่ม รพ. ที่ฝ่ายนักวิเคราะห์แนะนำลงทุน คือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 37.50 บาท  เนื่องจาก Capacity พร้อมรับการเติบโตระยะยาว, ศักยภาพการรักษาครบวงจร, กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ครอบคลุมตั้งแต่ระดับปานกลางขึ้นไป และตลาดลูกค้าต่างชาติกระจายตัว

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุผ่านบทวิเคราะห์ถึงอุตสาหกรรมโรงพยาบาล ว่ามีมุมมองเชิงบวกแบบระมัดระวังต่อกลุ่มโรงพยาบาล ขณะที่ ทุกโรงพยาบาลมีมุมมองเชิงบวกทต่อรายได้ที่จะเติบโตในปี 2568 แต่ BDMS, บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG และ บริษัท โรงพยาบาลราชธานี จำกัด (มหาชน) หรือ RJH มีมุมมองที่ระมัดระวังจากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคนไข้แบบชำระเงินเอง ขณะที่ บริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน) หรือ EKH และ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH ไม่ได้กังวลมากนัก โดยโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยต่างชาติ ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อความต้องการ (Demand) ของคนไข้จากต่างประเทศ

ขณะที่ แผนขยายธุรกิจใน 3-5 ปี โรงพยาบาลทุกแห่งมีแผนขยายพื้นที่ให้บริการโดยเปิดโรงพยาบาลใหม่หรือขยายกำลังการรักษาที่มีอยู่ สำหรับ EKH และ CHG กำลังมองหาการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโรงพยาบาล ส่วน BDMS, EKH, BCH และ CHG มีแผนเปิดโรงพยาบาลใหม่หรือขยายโรงพยาบาลที่มีอยู่เดิมในปี 2568-69 ขณะที่ RJH เพิ่งเปิดโรงพยาบาลใหม่ในช่วงปลายปี 2567

นอกจากนี้ โรงพยาบาลทุกแห่งเชื่อว่าตัวเองมีความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งโรงพยาบาลหลายแห่งตั้งเป้าที่จะเปิดโรงพยาบาลใน จ.ระยอง และคาดการณ์ว่าจะมีความต้องการมากพอที่จะรองรับอุปทานที่เพิ่มขึ้น โรงพยาบาลเหล่านี้ไม่มีความกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงกฏ ระเบียบจากกระทรวงสาธารณสุขหรือกรมการค้าภายใน

ทั้งนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มโรงพยาบาล และแนะนำ บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 เป็นหุ้นเด่น ซึ่งแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 28 บาท ซึ่งข้อมูลที่ได้จาก Hospital Day” ของฝ่ายนักวิเคราะห์สะท้อนให้เห็นว่ารายได้ของโรงพยาบาลน่าจะยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น แม้ได้รับแรงกดดันจากเศรษฐกิจในประเทศบางส่วน ส่วนแผนประกันร่วมจ่ายก็น่าจะมีผลกระทบจำกัด และไม่มีความกังวลด้านการแข่งขันและกฎระเบียบ

อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการในไตรมาส 4/2567 น่าจะมีแนวโน้มอ่อนตามแนวโน้มรายได้ ขณะที่ downside risk ได้แก่ เศรษฐกิจที่อ่อนแอ การเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบ และการแข่งขันที่สูงกว่าคาด

บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุผ่านบทวิเคราะห์เกี่ยวกับกลุ่มโรงพยาบาลว่า แนวโน้มผลประกอบการในปี 2568 มีมุมมองเชิงบวก เนื่องจากปัจจัยด้านข่าวลบที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลในปี 2567 ได้คลี่คลายลงแล้ว

ขณะที่ ปัจจัยสนับสนุนสำคัญ คือ การปรับอัตราการเบิกจ่ายเงินชดเชยโรคร้ายแรงโดยสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ที่จะเป็นแบบคงที่ที่ 12,000 บาทต่อการรักษาตลอดปี 2568 ซึ่งส่งผลบวกต่อโรงพยาบาลที่มีรายได้จากประกันสังคม เช่น BCH, CHG, RJH, บริษัท โรงพยาบาล ลาดพร้าว จำกัด (มหาชน) หรือ LPH และ บริษัท โรงพยาบาลวิภาวดี จำกัด (มหาชน) หรือ VIBHA

ด้วยเหตุนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์จึงคงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มโรงพยาบาลที่ระดับ “มากกว่าตลาด” เนื่องจากกลุ่มนี้มีความ “Defensive” ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะเดียวกัน ราคาหุ้นของกลุ่มโรงพยาบาลได้ปรับลดลงสะท้อนข่าวลบไปมากแล้ว ซึ่งฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ว่าผลประกอบการในปี 2568 จะเติบโตอย่างดี โดยแนะนำหุ้น Top pick ที่น่าสนใจในกลุ่มโรงพยาบาล ได้แก่ BCH ให้ราคาเป้าหมาย 20.40 บาท และ BDMS ให้ราคาเป้าหมาย 37.60 บาท

Back to top button