
MINT ธุรกิจโรงแรม-อาหารแกร่ง ดันกำไรปี 67 โต 43% ทะลุ 7.7 พันล้านบาท
MINT โชว์กำไรปี 67 ทะลุ 7.75 พันล้านบาท โต 43% จากปีก่อนอยู่ที่ 5.40 พันล้านบาท รับรายได้ธุรกิจโรงแรม-อาหารโตแกร่ง พ่วงการเติบโตอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกหนุน
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 67 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 67 มีกำไรสุทธิดังนี้
โดยกำไเพิ่มขึ้นเนื่องจากปี 2567 รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทเติบโตร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 166,034 ล้านบาท เป็นผลมาจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร รวมถึงการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลก
นอกจากนี้กลยุทธ์การกำหนดราคาที่มีประสิทธิภาพส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ในยุโรปและเอเชียเพิ่มขึ้น อีกทั้งการเปิดโรงแรมใหม่ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ
สำหรับธุรกิจร้านอาหาร การเพิ่มขึ้นของจำนวนลูกค้าและยอดขายในประเทศไทยและสิงคโปร์เป็นปัจจัยหลักที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโต โดยมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แคมเปญการตลาด การขยายสาขา และการเปิดตัวแบรนด์ใหม่เป็นแรงผลักดันสำคัญ กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (Core EBITDA) เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 อยู่ที่ 44,572 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามอัตราการเติบโตของกำไรต่ำกว่ารายได้ เนื่องจากการปรับปรุงบัญชีด้านบวก ณ สิ้นปี 2565 รวมถึงต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานบัญชี IFRS 16 สำหรับโรงแรมในเครือโอ๊คส์
โดยกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 8,390 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 โดยมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นร้อยละ 5.1 ซึ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีขึ้นและการใช้ประโยชน์จากผลขาดทุนทางภาษีสะสม
สำหรับ ณ สิ้นปี 2567 บริษัทมีโรงแรมที่ลงทุนเองจำนวน 372 แห่ง และโรงแรมและเซอร์วิสสวีทที่รับจ้างบริหารอีก 190 แห่งใน 58 ประเทศ รวมจำนวนห้องพักทั้งสิ้น 81,344 ห้อง แบ่งเป็นห้องพักที่ลงทุนเองและเช่าบริหาร 55,824 ห้อง และห้องพักที่รับจ้างบริหาร 25,520 ห้อง โดยดำเนินธุรกิจภายใต้แบรนด์ อนันตรา, อวานี, โอ๊คส์, ทิโวลี, เอ็นเอช คอลเลคชั่น, เอ็นเอช, นาว และเอเลวาน่า คอลเลคชั่น
จากจำนวนห้องพักทั้งหมดห้องพักในประเทศไทยมีจำนวน 5,865 ห้อง คิดเป็นร้อยละ 7 ส่วนห้องพักในต่างประเทศมีจำนวน 75,479 ห้อง หรือร้อยละ 93 ครอบคลุมทวีปเอเชีย โอเชียเนีย ยุโรป อเมริกา และแอฟริกา
โดยในปี 2567 รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของโรงแรมทั้งหมดเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับปี 2562 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของโรงแรมในยุโรปและประเทศไทย
ธุรกิจโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 133,901 ล้านบาท ขณะที่กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 อยู่ที่ 37,249 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อมราคาลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 27.8 จากร้อยละ 29.4 ในปี 2566 อันเป็นผลมาจากการปรับปรุงบัญชีด้านบวกและการบันทึกต้นทุนตามมาตรฐาน IFRS 16 สำหรับธุรกิจในเครือโอ๊คส์
นอกจากนี้ ณ สิ้นปี 2567 บริษัทมีร้านอาหารทั้งหมด 2,699 สาขา แบ่งเป็นสาขาที่บริษัทลงทุนเอง 1,400 สาขา (ร้อยละ 52) และสาขาแฟรนไชส์ 1,299 สาขา (ร้อยละ 48) โดยในจำนวนนี้เป็นร้านอาหารในประเทศไทย 2,083 สาขา (ร้อยละ 77) และร้านอาหารในต่างประเทศ 616 สาขา (ร้อยละ 23) ครอบคลุม 23 ประเทศในเอเชีย โอเชียเนีย ตะวันออกกลาง สหราชอาณาจักร ยุโรป และแคนาดา
อย่างไรก็ตามในปี 2567 ยอดขายรวมทุกสาขาของกลุ่มไมเนอร์ ฟู้ด (รวมยอดขายจากร้านแฟรนไชส์) เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 จากปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในประเทศไทยและสิงคโปร์ อย่างไรก็ตามยอดขายต่อสาขาเดิมลดลงร้อยละ 2.2 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจมหภาคในจีนและออสเตรเลียที่ท้าทาย โดยเฉพาะความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่อ่อนแอในจีนและค่าครองชีพที่สูงในออสเตรเลีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลประกอบการโดยรวม ทั้งนี้ หากไม่นับปัจจัยดังกล่าว การเติบโตของยอดขายรวมและยอดขายต่อสาขาเดิมจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ