เบิกจ่ายงบพุ่ง! โบรกชู “CK-SEAFCO” เด่น รับอานิสงส์เมกะโปรเจกต์รัฐ

บล.กสิกรไทย คาดการเบิกจ่ายงบประมาณเร่งด่วนและเปิดประมูลโครงการเมกะโปรเจกต์ในปี 68 หนุนธุรกิจก่อสร้างเติบโต แนะนำ “ซื้อ” CK- SEAFCO พร้อมปรับเป้าราคาและคาดกำไรเติบโตจากโครงการขนาดใหญ่


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ ( 15 ก.พ.68) บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุผ่านบทวิเคราะห์ เมื่อวันที่ (13 ก.พ.68) ว่าได้จัดงาน KS-Expert-Series ในหัวข้อ “ทำความเข้าใจการเบิกจ่ายงบประมาณและแผนงบลงทุน” ร่วมกับสำนักงบประมาณ ซึ่งรัฐบาลมีแผนเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณและการก่อหนี้ผูกพันในไตรมาส 1/68 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีแนวโน้มดำเนินการผ่านโครงการเมกะโปรเจกต์ใหม่

ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวกต่อแผนของรัฐบาลในการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณและการก่อหนี้ผูกพันในปีนี้ ซึ่งนำไปสู่การคาดการณ์ว่าจะมีการเปิดประมูลโครงการในแผนของสำนักงบประมาณเร็วขึ้น รวมมูลค่า 3.39 แสนล้านบาท โดยโครงการเมกะโปรเจกต์ดังกล่าวแบ่งเป็น 2.98 แสนล้านบาท จากโครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 จำนวน 6 โครงการ 2.2 หมื่นล้านบาท  จากโครงการรถไฟฟ้า SRT สายสีแดง 2 โครงการ และ 1.9 หมื่นล้านบาท จากโครงการรถไฟฟ้า SRT สายสีน้ำตาล ด้วยงบประมาณการก่อหนี้ผูกพันสำหรับการลงทุนใหม่ในปี 68 ที่ยังไม่ได้ดำเนินการอีก 4.7 หมื่นล้านบาท บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ในการเปิดประมูลโครงการในแผนทั้งหมด เนื่องจากในช่วงปีแรกของโครงการจะมีมูลค่าลงทุนเพียง 5%-10% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด

อีกทั้งยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มธุรกิจ โดยได้รับแรงหนุนจากการเปิดประมูลเมกะโปรเจกต์ที่จะเกิดขึ้น งบประมาณกระทรวงคมนาคมที่เพิ่มขึ้น และความคาดหวังเกี่ยวกับการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ ในด้านกำไร และคาดว่ากำไรของ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ในปี 2568 จะเติบโตกว่างวดเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากโครงการรถไฟฟ้า MRT สายสีส้ม โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” CK ให้ราคาเป้าหมายที่ 27.30 บาท

ขณะที่กำไรของ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO และ บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON คาดว่าจะฟื้นตัวจากผลการดำเนินงานที่อ่อนแอในปี 2567 โดยได้รับแรงหนุนจาก backlog จำนวนมากที่ได้รับในไตรมาส 4/2567 ขณะเดียวกัน SEAFCO  ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 2.85 บาท

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” CK ในราคาปรับพื้นฐานลงมาที่ 20.00 บาท คาดในปี 68 รายได้ยังมีทิศทางเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากความคืบหน้าของงานก่อสร้างที่เร่งตัวขึ้น และจะเริ่มรับรู้งานรถไฟฟ้าสายสีส้มเข้ามาเสริม คาดว่ายังบริหาร GPM ได้ระดับปกติไม่ต่ำไปกว่า 7% แต่ทางฝ่ายฯปรับต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิมตามความคืบหน้าของงานที่เร่งตัวขึ้น ปรับกำไรสุทธิลง 12% มาอยู่ที่ 1,562 ล้านบาท ลดลง 7.2% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

โดยในปัจจุบันราคาหุ้นปรับตัวลงเนื่องจากในช่วง ไตรมาส 4/67- 1/68 ไม่มีปันผลจาก TTW และยังไม่เข้าสู่ช่วง high season ของ BEM และ CKP ทำให้ผลประกอบการของ CK อ่อนตัวไปตามฤดูกาลของบริษัทร่วม ช่วงนี้อาจรอให้ราคาหุ้นปรับตัวรับผลประกอบการไตรมาส 4/67 ไปก่อน และมองว่ายังสามารถเก็งกำไรระยะสั้นได้ หลังจากนั้น คาดว่าระดับกำไรในปี 68 จะค่อยๆปรับตัวสูงขึ้นไปทีละไตรมาสจนถึงช่วง high season ของบริษัทร่วมในไตรมาส 3/68

Back to top button