
โบรกแนะ “ซื้อ” หุ้น TOP เป้า 43.20 บาท รับอานิสงส์ค่าการกลั่น Q1 ฟื้น
“เกียรตินาคินภัทร” แนะนำซื้อหุ้น TOP ราคาเป้าหมาย 43.20 บาท หลังมองว่าค่าการกลั่นสิงคโปร์เริ่มฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 1/68
บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จํากัด (มหาชน) หรือ KKPS ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (17 ก.พ.68) แนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ที่ราคาเป้าหมาย 43.20 บาท
โดยไตรมาสที่ 4 ปี 67 บริษัทรายงานกำไรสุทธิหลังหักภาษี ซึ่งพลิกจากผลขาดทุนสุทธิ 4.2 พันล้านบาท ในไตรมาสก่อน มาเป็นกำไรสุทธิ 2.8 พันล้านบาท ซึ่งสูงกว่าที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยปัจจัยหลักที่ช่วยหนุนคือปริมาณการกลั่นที่แข็งแกร่ง การฟื้นตัวของค่าการกลั่น (GRM) และการไม่มีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันจำนวน 5.4 พันล้านบาท ที่เกิดขึ้นในไตรมาสก่อนหน้า
ด้านกำไรสุทธิจากการดำเนินงานหลักหลังหักภาษี (Core NPAT) เพิ่มขึ้นจาก 1.4 พันล้านบาทในไตรมาสที่ 3 เป็น 3 พันล้านบาท ในไตรมาสที่ 4 โดยการกลับรายการปรับมูลค่าทรัพย์สิน (NRV) จำนวน 2.1 พันล้านบาท เกือบชดเชยผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 2 พันล้านบาทได้ นอกจากนี้ กำไรจากการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) จำนวน 230 ล้านบาท ยังถูกหักล้างด้วยผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 487 ล้านบาท
ทั้งนี้กำไรขั้นต้นจากการกลั่นตามราคาตลาด (Refining GIM) ปรับตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดที่ 3.7 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาส 3 เป็น 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาส 4 ในขณะที่ค่าพรีเมียมน้ำมันดิบ Murban เพิ่มขึ้น 0.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่ 1.6 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบจากตะวันออกกลางคิดเป็น 92% ของการใช้วัตถุดิบทั้งหมด โดยในจำนวนนี้ 48% เป็นน้ำมันดิบเกรด Murban
อย่างไรก็ตาม กำไรจากผลิตภัณฑ์อะโรมาติกส์ลดลง 0.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ตามการอ่อนตัวของส่วนต่างราคาอะโรมาติกส์ ขณะที่ค่าการกลั่นของน้ำมันหล่อลื่นกลับสู่ระดับปกติที่ 1.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล กำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาดเพิ่มขึ้นจาก 5.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาส 3 เป็น 7.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาส 4
ด้านอัตราการเดินเครื่องจักรอยู่ในระดับสูงที่ 113% เนื่องจากความต้องการตามฤดูกาลที่แข็งแกร่ง ต้นทุนการดำเนินงานของโรงกลั่นอยู่ที่ 2.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งสูงขึ้นจาก 1.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาสก่อน ทั้งนี้ โดยปกติแล้วค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมักจะสูงขึ้นในไตรมาส 4
ส่วนธุรกิจไฟฟ้า มีกำไรสุทธิหลังหักภาษี 404 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจเคมีภัณฑ์มีผลขาดทุนเล็กน้อย 9 ล้านบาท อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนดีขึ้นจาก 0.88 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 3 เป็น 0.82 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 4
บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 67 ที่ 0.7 บาทต่อหุ้น ทำให้เงินปันผลรวมปี 67 อยู่ที่ 1.9 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล 43%
ทั้งนี้ แม้ว่าค่าการกลั่นสิงคโปร์ (SG GRM) จะอ่อนตัวลงจาก 5.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาส 4 ปี 67 มาอยู่ที่ 2.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในเดือนมกราคม 2568 แต่ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าค่าการกลั่นยังคงสูงกว่าที่ 4.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ขณะที่ค่าการกลั่นสิงคโปร์เริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของเดือนม.ค. และเพิ่มขึ้นมาเกิน 3 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในเดือนก.พ. ซึ่งมีแนวโน้มจะดำเนินต่อไปในไตรมาสที่ 1 ปี 68
โดยไทยออยล์คาดว่า บริษัทจะเปิดใช้งานระบบทุ่นรับน้ำมันดิบกลางทะเล (SBM-2) เร็ว ๆ นี้ โดยก่อนหน้านี้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากการขนส่งน้ำมันทางเรือ (Ship-to-ship cost) จำนวน 0.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ตั้งแต่เกิดเหตุน้ำมันรั่วไหลในเดือนกันยายน 2566 ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าการกลับมาใช้งาน SBM-2 จะช่วยเพิ่มกำไรสุทธิหลังหักภาษีให้บริษัทได้ราว 400 ล้านบาทต่อไตรมาส
ฝ่ายวิเคราะห์ปรับเปลี่ยนการประเมินแนวโน้มรายได้จากระดับ 8 (คงที่/ต่ำลง) เป็นระดับ 7 (คงที่/สูงขึ้น)
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CLSA ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (17 ก.พ.68) แนะนำ “UNDERPERFORM” หุ้น บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ราคาเป้าหมาย 20 บาท
โดยไทยออยล์มีกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 2.8 พันล้านบาท (EPS 1.24 บาท) สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ 18% ปัจจัยหนุนหลักมาจากอัตรากำไรจากการกลั่น (GRM) ปรับตัวขึ้นเป็น 5.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จาก 3.7 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาสก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นในน้ำมันอากาศยาน ดีเซล เบนซิน และน้ำมันเตา แม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะมีพรีเมียมเพิ่มขึ้น 0.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส อัตราการกลั่นอยู่ที่ 113% คงที่จากไตรมาสก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่ลดลงทำให้เกิดขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน 2.0 พันล้านบาท (ไม่รวมการกลับรายการ NRV มูลค่า 2.1 พันล้านบาท) เทียบกับขาดทุน 5.4 พันล้านบาทในไตรมาส 3/67
ด้านธุรกิจอะโรเมติกส์อ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยส่วนต่างราคา PX (พาราไซลีน) ลดลง 65 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน อยู่ที่ 117 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และ BZ (เบนซีน) ลดลง 52 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน อยู่ที่ 175 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ส่งผลให้ GIM จากธุรกิจนี้ลดลงเหลือ 1.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เทียบกับ 1.2 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาสก่อนหน้า อัตราการเดินเครื่องลดลงจาก 83% เหลือ 80%
ขณะที่ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นมีการปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าด้วยอัตรากำไรที่สูงขึ้น เพิ่ม GIM อีก 1.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้โดยรวมแล้วค่าการกลั่นเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์ (GIM) ของไทยออยล์ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 7.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เทียบกับ 5.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาส 3/2567 บริษัทมีผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน 487 ล้านบาท และกำไรสุทธิทั้งปี 2567 อยู่ที่ 9.96 พันล้านบาท (EPS 4.46 บาท) ลดลง 49% เมื่อเทียบปีต่อปี
ทั้งนี้ ประเมินว่าอัตรากำไรจากการกลั่น (GRM) ในไตรมาสปัจจุบันอยู่ที่ 4.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนต่างราคาน้ำมันอากาศยาน ดีเซล และเบนซินลดลงมาอยู่ที่ 13.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล, 15.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และ 6.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากระดับ 14.8 ดอลลาร์สหรัฐ, 15.1 ดอลลาร์สหรัฐ และ 11.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาส 4/67
นอกจากนี้ พรีเมียมน้ำมันดิบ Murban เพิ่มขึ้น 0.2 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราการเดินเครื่องจะยังแข็งแกร่ง เนื่องจากไม่มีแผนหยุดซ่อมบำรุงในไตรมาสนี้
พร้อมกันนี้ ไทยออยล์ประกาศแผนหยุดซ่อมบำรุงในไตรมาสที่สามของปีนี้ โดยหน่วยกลั่น CDU3 ขะปิดเป็นเวลา 30 วัน รวมถึงการอัปเกรดหน่วยไฮโดรแครกกิ้งที่ 2 เป็นเวลา 41 วัน และการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานอะโรเมติกส์ โรงงานน้ำมันหล่อลื่น และโรงงานผลิต Linear Alkyl Benzene เป็นเวลา 45 วัน คาดว่าอัตราการเดินเครื่องทั้งปี 68 จะลดลงมาอยู่ที่ 103-105% จากระดับปัจจุบัน ซึ่งอาจกดดันกำไรในปี 68
อย่างไรก็ตาม ไทยออยล์เพิ่งได้รับเงินชดเชยจากพันธบัตรค้ำประกันของผู้รับเหมาโครงการ CFP จำนวน 358 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 12,339 ล้านบาท) โดยยังเหลือเงินอีก 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่ต้องเรียกร้องเพิ่มเติม ซึ่งยังไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างหาผู้รับเหมาใหม่สำหรับโครงการ CFP ซึ่งเป็นปัจจัยลบที่อาจกดดันราคาหุ้นในระยะสั้น ทั้งนี้ ไทยออยล์ประกาศจ่ายเงินปันผลรอบสุดท้ายที่ 0.70 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 27 ก.พ.68