STGT โชว์กำไรปี 67 โตทะลัก 5 เท่าตัว รับยอดขาย “นิวไฮ” รอบ 36 ปี

STGT รายงานกำไรปี 67 โต 551% เทียบกับปีก่อนหน้า รับรายได้ขายเพิ่ม จากปริมาณและราคาขายถุงมือยาง ขณะที่ยอดขายทำสถิติสูงสุดในรอบกว่า 36 ปี


บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT รายงานผลการดำเนินงานปี 67 สิ้นสุด 31 ธ.ค.67 มีกำไรสุทธิ ดังนี้

โดยบริษัทฯ เปิดเผยผลประกอบการปี 67 มีกำไรสุทธิ 995.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 551.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 4.0% ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 4/67 มีกำไรสุทธิ 556.7 ล้านบาท พลิกจากการขาดทุนในไตรมาสก่อน พร้อมอัตรากำไรสุทธิ 8.2% โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักดังต่อไปนี้

รายได้จากการขายเติบโตต่อเนื่อง

ในปี 67 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 25,002.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.1% จากปีก่อน อันเป็นผลจากการเติบโตทั้งในด้านปริมาณและราคาขายถุงมือยาง โดยในไตรมาส 4/67 รายได้จากการขายอยู่ที่ 6,773.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1% จากไตรมาสก่อน ตามการขยายตัวของปริมาณการขาย

ราคาขายเฉลี่ยขยับขึ้นตามอุปสงค์ตลาด

ราคาขายเฉลี่ยของถุงมือยางทุกประเภทในปี 67 อยู่ที่ 642 บาท/พันชิ้น (18.26 ดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 6.1% จากปีก่อน ตามการปรับสมดุลของอุปสงค์และอุปทานในอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทสามารถผลักดันราคาขายในสกุลดอลลาร์ให้เพิ่มขึ้น 0.6% จากไตรมาสก่อน แต่ราคาขายเฉลี่ยในสกุลบาทปรับตัวลดลง 1.7% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 2.3% ในไตรมาส 4/67

ปริมาณการขายทำสถิติสูงสุดในรอบ 36 ปี

บริษัทฯ ทำสถิติยอดขายสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งในรอบ 36 ปี ในปี 67 มีปริมาณการขายรวมอยู่ที่ 38,549 ล้านชิ้น เพิ่มขึ้น 22.8% จากปีก่อน จากการเติบโตในทุกผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ถุงมือยางธรรมชาติแบบมีแป้ง (NRPD) เพิ่มขึ้น 11.9% จากปีก่อน, ถุงมือยางธรรมชาติแบบไม่มีแป้ง (NRPF) เพิ่มขึ้น 11.1% จากปีก่อน, ถุงมือยางสังเคราะห์ (NBR) ขยายตัวสูงถึง 67.3% จากปีก่อน

โดยปัจจัยหนุนการเติบโตของยอดขาย ได้แก่ 1) อุปสงค์ถุงมือยางทั่วโลกฟื้นตัว ประกอบกับสต็อกของลูกค้าและผู้จัดจำหน่ายกลับสู่ระดับปกติ 2) การปรับขึ้นภาษีนำเข้าถุงมือยางจากจีนของสหรัฐฯ ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในตลาดอเมริกา 3) มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดของบราซิล ซึ่งบริษัทได้รับภาระภาษีต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับผู้ผลิตจากจีนและมาเลเซีย ส่งผลให้คำสั่งซื้อจากตลาดดังกล่าวเพิ่มขึ้น

การใช้กำลังการผลิตแตะ 85.9% ในไตรมาส 4/2567

อัตราการใช้กำลังการผลิตของบริษัทในปี 67 อยู่ที่ 82.8% เพิ่มขึ้นจาก 64.2% ในปีก่อนหน้า ขณะที่ในไตรมาส 4/67 อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 85.9% จาก 77.1% ในไตรมาสก่อน

ต้นทุนปรับเพิ่มจากราคาวัตถุดิบและพลังงาน

ต้นทุนขายในปี 67 อยู่ที่ 22,832.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.4% จากปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากราคาน้ำยางธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น 40.3% และราคาน้ำยางสังเคราะห์ที่เพิ่มขึ้น 15.6% รวมถึงต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นจากค่าไม้ฟืน ขณะที่ต้นทุนขายในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 6,218.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากไตรมาสก่อน โดยราคาน้ำยางธรรมชาติปรับขึ้น 1.5% จากไตรมาสก่อน ส่วนราคาน้ำยางสังเคราะห์ปรับลดลง 4.8% จากไตรมาสก่อน อย่างไรก็ตาม ต้นทุนต่อหน่วยมีแนวโน้มลดลงตามการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม จากผลประกอบการดังกล่าว บริษัทฯ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมถุงมือยางระดับโลก

พร้อมกันนี้ บริษัทเตรียมปันผลจากกำไรสะสม เป็นเงินสด 0.50 บาท กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 18 เม.ย.68 และกำหนดจ่าย 8 พ.ค.68

Back to top button