
โบรกคัด 5 หุ้นเด่น แนวโน้มกำไรปี 68 โตต่อเนื่อง หลังไตรมาส 4/67 แกร่ง
บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาด SET Index เคลื่อนไหว Sideways โดยมีข้อจำกัดด้าน Upside จากแรงกดดันของ DELTA ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศยังคงกดดันเบา แนะลงทุนหุ้น Domestic Play ที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตต่อเนื่อง ได้แก่ MTC, SFLEX, TU, ILM, SEAFCO โดยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” พร้อมปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2568
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) คาดการณ์แนวโน้มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) วันนี้ว่า ดัชนีจะเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways โดยยังมีข้อจำกัดด้าน Upside เนื่องจากแรงกดดันจากหุ้น DELTA ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศยังคงมีแรงกดดันในระดับต่ำ หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศแผนเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ ชิป และยา จากต่างประเทศในอัตรา 25% เริ่มตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2568 เพื่อกระตุ้นการลงทุนภายในสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Bond Yield) และดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (Dollar Index) ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) หลายสาขาออกมาแสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า อัตราดอกเบี้ยน่าจะถูกตรึงไว้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง
โดยนักลงทุนให้ความสนใจกับรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่จะเผยแพร่ในคืนนี้ เพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินที่ไหลออกจากหุ้น DELTA ในระยะนี้ มีแนวโน้มหมุนเวียนไปยังหุ้นกลุ่มอื่น (Sector และ Stock Rotation) ซึ่งอาจทำให้หุ้นบางกลุ่มปรับตัวแข็งแกร่ง สวนทางกับดัชนี
ขณะเดียวกันตลาดยังคงจับตาความคืบหน้าของมาตรการกระตุ้นตลาดทุน ซึ่งมุ่งลดผลกระทบจากแรงขายกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (LTF) ที่ครบกำหนด ทั้งนี้ มีการหารือระหว่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET), สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และกระทรวงการคลังเกี่ยวกับแนวทางดังกล่าว
นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนประจำปี 2567 ซึ่งในปัจจุบันข้อมูลที่เผยแพร่ออกมาไม่ได้ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ในระดับที่มีนัยสำคัญ และยังไม่ส่งผลกระทบต่อการปรับลดประมาณการกำไรของปี 2568 อย่างรุนแรง โดยนักวิเคราะห์คาดว่า หากผลประกอบการยังคงแข็งแกร่ง หุ้นที่มีกำไรเติบโตต่อเนื่องในปี 2568 จะสามารถปรับตัวได้ดีกว่าตลาดโดยรวม
ด้านมูลค่าหุ้น (Valuation) ของ SET Index ปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยซื้อขายที่อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ประมาณ 13 เท่า และมีส่วนต่างผลตอบแทนจากกำไรต่อหุ้น (Earnings Yield Gap) กว่า 5% กลยุทธ์การลงทุนยังคงเน้นหุ้นกลุ่ม Domestic Play เป็นหลัก เพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยสงครามการค้าระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตามประเด็นสำคัญของบริษัทจดทะเบียนในวันนี้ที่น่าจับตาหลังจากการประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/2567 และตลอดทั้งปี 2567 ออกมาแข็งแกร่ง ส่งผลให้นักลงทุนให้ความสนใจต่อแนวโน้มผลประกอบการในปี 2568 ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญต่อทิศทางของตลาดหุ้นไทย
บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT รายงานกำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 4,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85% จากไตรมาสก่อน และ 22% จากงวดเดียวของปีก่อน โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากรายได้ที่เติบโตและอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ ธุรกิจค้าส่งเติบโต 3% จากงวดเดียวของปีก่อน และค้าปลีกเติบโต 1.9% จากงวดเดียวของปีก่อน ตามการขยายสาขา แนวโน้มยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในเดือนมกราคม 2568 คาดว่าจะเติบโต 1-3% สำหรับธุรกิจค้าปลีก และ 4-6% สำหรับธุรกิจค้าส่ง
บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ 1,540 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากงวดเดียวของปีก่อน และ 4% จากไตรมาสก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีกว่าคาดการณ์ อัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ลดลงเหลือ 2.75% และการตั้งสำรองลดลงเหลือ 2.8% อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ลดลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลง ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายที่ 60 บาท
บริษัท เอสเฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SFLEX คาดการณ์กำไรปกติไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ 76 ล้านบาท ทรงตัวจากงวดเดียวของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 80% จากงวดเดียวของปีก่อน ส่งผลให้กำไรทั้งปี 2567 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตของกำไรในปี 2568 คาดว่าจะชะลอลงเป็น 6.4% จากงวดเดียวของปีก่อน หลังจากขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงสองปีที่ผ่านมา ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 4.70 บาท
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU คาดว่าแนวโน้มผลประกอบการปี 2568 จะชะลอตัวจากงวดเดียวของปีก่อน และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากต้นทุนการปรับโครงสร้างองค์กร (Transformation Cost) และค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่สูงขึ้น เนื่องจากบริษัทมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์มากขึ้น นอกจากนี้ ผลกระทบจาก Global Minimum Tax (GMT) คาดว่าจะทำให้ภาระภาษีเพิ่มขึ้นราว 300-350 ล้านบาท ปรับประมาณการกำไรปี 2568 เพิ่มขึ้น 3% และกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 6.5% จากโครงการซื้อหุ้นคืน ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 15 บาท
บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ 182 ล้านบาท ลดลง 6% จากไตรมาสก่อน และ 7% จากงวดเดียวของปีก่อน เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงและสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ลดลง อย่างไรก็ตาม บริษัทวางแผนขยายสาขาเพิ่มขึ้นในปี 2568 ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 เพิ่มขึ้น 7% จากงวดเดียวของปีก่อน คงคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายที่ 17 บาท
บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO คาดการณ์ผลขาดทุนสุทธิไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ 24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากขาดทุน 11 ล้านบาทในไตรมาสก่อน และลดลงจากกำไร 36 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากช่วงรอยต่อของงานและวันหยุดจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่ 1,700 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 4 ปี และมีศักยภาพในการรับงานเพิ่มเติม คาดว่าผลประกอบการจะเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจนในปี 2568 จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม คงคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายที่ 3 บาท