“ชัยยศ” ลุ้น SET ฟื้นตัว ชี้โอกาสสะสมหุ้น “รพ.-ไฟแนนซ์-ค้าปลีก” พื้นฐานดี

นายชัยยศ จิวางกูร มองแนวโน้ม SET ฟื้นตัว พร้อมแนะสะสมหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ไฟแนนซ์และค้าปลีก รับปัจจัยพื้นฐานดี ผลดำเนินงานปี 67 สดใส


นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS เปิดเผยในรายการ ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (19 กุมภาพันธ์ 2568) ว่า ทิศทางของดัชนี SET Index ในช่วงนี้ มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ไม่นับรวมปัจจัยกดดันจากหุ้น บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA

ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์พบว่า หุ้นในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมมีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน อาทิ กลุ่ม ICT และ กลุ่มค้าปลีก เช่น บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL และ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT นอกจากนี้กลุ่มโรงพยาบาล และ ท่องเที่ยว-โรงแรม ยังเริ่มได้รับแรงสนับสนุนจากการเข้าซื้อของนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น หากไม่นับรวมปัจจัยกดดันจากหุ้น DELTA ทิศทางการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยนักลงทุนสามารถทยอยสะสมหุ้น เนื่องจากมูลค่าพื้นฐานของหุ้นหลายกลุ่มยังอยู่ในระดับที่ไม่สูง (Valuation ไม่แพง)

โดยฝ่ายวิเคราะห์แนะนำ กลุ่มไฟแนนซ์ เป็นหนึ่งในกลุ่มที่น่าสนใจได้รับปัจจัยหนุนจากผลประกอบการไตรมาส 4/2567 ที่ออกมาดี โดยเฉพาะ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ซึ่งสามารถทำสถิติผลประกอบการสูงสุดใหม่ ขณะที่ บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ THANI ก็มีแนวโน้มหนี้เสีย (NPL) ที่ปรับตัวลดลง ซึ่งสะท้อนถึงทิศทางเชิงบวกของกลุ่มดังกล่าว

นอกจากนี้ กลุ่มโรงพยาบาล ยังคงเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่น่าสนใจ เนื่องจากพื้นฐานธุรกิจยังไม่ได้รับปัจจัยกดดันเชิงลบมากนัก อย่างไรก็ตาม อาจได้รับแรงกดดันจากความไม่ชัดเจนในประเด็นผู้ป่วยจากคูเวต ซึ่งส่งผลต่อหุ้นหลักในกลุ่ม เช่น บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH และกดดันภาพรวมของกลุ่มในระยะสั้น

ขณะที่ ฝ่ายวิเคราะห์มองว่า แรงซื้อที่เข้ามาในหุ้นกลุ่มต่างๆ (ยกเว้น DELTA และ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT) อาจได้รับอิทธิพลจากเม็ดเงินบางส่วนที่ไหลออกจาก DELTA ในระยะสั้น ส่วนในระยะยาว การเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มต่างๆ มีแนวโน้มได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งสะท้อนผ่านผลประกอบการไตรมาส 4/2567 ที่ออกมาดี และสัญญาณฟื้นตัวของธุรกิจในหลายอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มไฟแนนซ์ และ กลุ่มค้าปลีก ที่ก่อนหน้านี้ราคาหุ้นปรับตัวลงจนอยู่ในระดับที่น่าสนใจสำหรับการสะสม ด้วยเหตุนี้ ปัจจัยดังกล่าวอาจเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยหนุนให้ ดัชนี SET Index มีโอกาสฟื้นตัว (Rebound) ในระยะยาว

ในส่วนของประเด็นที่ กระทรวงการคลัง เตรียมเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนกองทุน LTF ไปสู่ กองทุน ThaiGSG ฝ่ายวิเคราะห์มองว่า อาจส่งผลให้มีการชะลอแรงขายของนักลงทุนบางส่วน เพื่อติดตามรายละเอียดของกองทุนใหม่

ทั้งนี้ กองทุน LTF มีลักษณะการกระจายการลงทุนที่หลากหลาย โดยนักลงทุนบางส่วนไม่ได้จำกัดการลงทุนเฉพาะหุ้นใน SET50 หรือ SET100 เท่านั้น แต่ยังรวมถึง หุ้นโกสต์ (Ghost Stock) และ หุ้นปันผล (Dividend Stock) ในขณะที่ ThaiGSG มีแนวโน้มที่จะให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่ม SET50/SET100 เป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ยังคงต้องรอรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อประเมินผลกระทบต่อ SET Index อย่างชัดเจน แต่ในระยะสั้นคาดว่าแรงขายจากกองทุน LTF ที่ครบกำหนดไถ่ถอนอาจชะลอตัวลง

เบื้องต้น จากข้อมูลที่มีอยู่ หากมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างกองทุน อาจยังคงมีมาตรการ ลดหย่อนภาษี ซึ่งเป็นปัจจัยจูงใจที่สามารถดึงดูดนักลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม ยังต้องรอการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมจากภาครัฐ

ในส่วนของปัจจัยต่างประเทศ ล่าสุด นายโดนัลด์ ทรัมป์ มีความต้องการเจรจาเพื่อยุติสงครามระหว่าง รัสเซีย-ยูเครน อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวล่าสุดพบว่า ยูเครนยังคงดำเนินการโจมตีท่อส่งน้ำมันของรัสเซีย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง และยังไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดจากปัจจัยใดที่ทำให้ยูเครนตัดสินใจดำเนินการดังกล่าว

ฝ่ายวิเคราะห์มองว่า หากสถานการณ์ไม่ลุกลามบานปลาย ราคาน้ำมันอาจมีโอกาสปรับตัวขึ้นในระยะสั้น (Rebound) แต่หากสงครามสามารถยุติได้จริง ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวลดลงในระยะยาว

สำหรับตลาดหุ้นไทย ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงมีมุมมองเชิงบวก โดยตั้งเป้าหมายให้ ดัชนี SET Index มีโอกาสแตะระดับ 1,300 จุด อย่างไรก็ตาม อาจต้องรอให้แรงขายจากหุ้น DELTA คลี่คลายก่อน

ขณะเดียวกัน หุ้นในกลุ่มที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง เช่น กลุ่มโรงพยาบาล ค้าปลีก และ ไฟแนนซ์ ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนที่ช่วยหนุนดัชนีให้ฟื้นตัวขึ้นได้ นอกจากนี้ ยังต้องจับตาทิศทางการลงทุนของ นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไป

Back to top button