
TRUE โชว์ “อีบิทด้า” ปี 67 แตะ 9.81 หมื่นล้าน โต 15% หลังกวาดรายได้ 2.06 แสนลบ.
TRUE รายงาน EBITDA ปี 67 เติบโต 15% แตะ 9.81 หมื่นล้าน จากรายได้รวม 2.06 แสนล้านบาท ขณะที่คาดปี 68 รายได้จากบริการเติบโต 2-3% EBITDA โต 8-10% และเตรียมพิจารณาจ่ายปันผลกว่า 50% ของกำไรสุทธิ ขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากคณะกรรมการ
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE รายงานผลประกอบการไตรมาส 4/2567 สร้างกำไรต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิหลังหักภาษีและหลังปรับปรุงรายการพิเศษ (Normalized Net Profit After Tax) ที่ 3.6 พันล้านบาท โดย EBITDA เติบโตเพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่ 8 ติดต่อกัน โดยมีปัจจัยหลักจากการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน จากการมุ่งเน้นผลการดำเนินงานและวินัยทางการเงิน ตลอดจนการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม (Synergy) รายได้จากการให้บริการและ EBITDA สูงกว่าแนวโน้มที่ตั้งไว้สำหรับปี 2567
ทั้งนี้บริษัทรายงานในส่วนของรายได้รวมในปี 2567 อยู่ที่ 206,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีรายได้รวม 202,765 ล้านบาท และมี EBITDA ในปี 2567 อยู่ที่ 98,142 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนอยู่ที่ 85,735 ล้านบาท
ด้านนาย มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร TRUE เปิดเผยว่า “ปี 2567 แม้เป็นปีที่มีความท้าทายทางเศรษฐกิจ แต่ ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงเดินหน้าพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้สามารถสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และ EBITDA เติบโตเป็นไตรมาสที่ 8 ติดต่อกัน ซึ่งความสำเร็จมาจากการขับเคลื่อนด้วยปัจจัยสำคัญ 3 ประการ คือ ประการแรก การเร่งดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย โดยปรับปรุงเครือข่ายแล้วเสร็จมากกว่า 77% ซึ่งเร็วกว่าแผนงาน และเมื่อเราบรรลุเป้าหมาย 100% กลางปี 2568 ที่จะถึงนี้ จะทำให้โครงการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยที่รวมเครือข่ายระดับประเทศสองเครือข่ายเป็นหนึ่งเดียว สามารถสร้างประวัติศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่ทั้งลูกค้าทรูมูฟ เอช และดีแทคได้สัมผัสประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นอย่างชัดเจน ประการที่สอง การเสริมความแข็งแกร่งด้วยพันธมิตรระดับโลกเพื่อยกระดับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี และประการที่สาม การนำประโยชน์จาก AI และการวิเคราะห์ล้ำสมัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายและขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัล
ขณะที่เราอยู่ท่ามกลางความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและการเติบโต เรายังคงมุ่งมั่นที่จะส่งมอบคุณค่าที่มากขึ้นให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พร้อมกับเสริมสร้างความแข็งแกร่งในฐานะบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งนอกจากความสำเร็จด้านธุรกิจแล้ว เรายังภูมิใจที่ได้รับการยกย่องให้เป็นองค์กรที่ยั่งยืนที่สุดในกลุ่มโทรคมนาคมระดับโลก โดยเป็นอันดับที่ 1 ในดัชนีความยั่งยืน Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ประจำปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7”
นายชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร TRUE กล่าวว่า “เรามั่นใจว่าในปี 2568 จะส่งมอบเครือข่ายที่ดีที่สุดครั้งประวัติศาสตร์ของเรา พร้อมคุณภาพบริการที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ นอกจากนี้ เรากำลังยกระดับการบริการลูกค้าด้วยการนำ AI เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ทั้งการแนะนำบริการที่เหมาะกับลูกค้าแต่ละราย การให้ความช่วยเหลือทันทีโดย ‘มะลิ’ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเสมือน และการสนับสนุนพนักงานขายและคอลเซ็นเตอร์ด้วย AI co-pilots ในปี 2568 เรามีเป้าหมายเพิ่มผู้ใช้บริการดิจิทัลจากหนึ่งในสามเป็น 40% และขยายฐานผู้ใช้ดิจิทัลเป็น 20 ล้านราย แอปพลิเคชันบริการหลังการขายที่ปรับปรุงใหม่ของเราจะช่วยให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบบิล รับสิทธิประโยชน์ และรับบริการ AI ครบได้ในที่เดียว ทั้งนี้ ปี 2568 จะเป็นปีที่สร้างกำไร พร้อมส่งมอบความประทับใจให้ลูกค้าผ่านความสำเร็จของทรู”
ส่วนในไตรมาส 4/2567 จำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่กลับมาเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยเพิ่มขึ้น 116,000 เลขหมาย หรือ 0.2% จากไตรมาสที่ผ่านมา มีจำนวน 49.4 ล้านเลขหมาย ซึ่งเป็นตัวเลขภายหลังจากการลดลงของผู้ใช้บริการ 133,000 เลขหมายจากความร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการฉ้อโกง ผู้ใช้บริการระบบรายเดือนคงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่ 15.2 ล้านเลขหมาย ในขณะที่ผู้ใช้บริการระบบเติมเงินมีจำนวน 34.2 ล้านเลขหมาย ผู้ใช้บริการออนไลน์เพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน อยู่ที่ 3.7 ล้านราย ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2567 ผู้ใช้บริการ 5G มีจำนวน 13.8 ล้านเลขหมาย
นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปี 2567 เป็นปีที่สำคัญสำหรับทรู คอร์ปอเรชั่น ด้วยการพลิกกลับมามีกำไรภายหลังการปรับปรุงตั้งแต่ไตรมาสแรกอย่างเกินความคาดหมาย ซึ่งการขับเคลื่อนต่อเนื่องนับตั้งแต่การควบรวมกิจการ ทำให้ EBITDA เติบโตติดต่อกัน 8 ไตรมาส พร้อมกำไรที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกไตรมาส สำหรับในปี 2567 ทรู คอร์ปอเรชั่นมีกำไรภายหลังการปรับปรุง 9.9 พันล้านบาท โดยมาจากไตรมาส 4/2567 จำนวน 3.6 พันล้านบาท”
รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC ปรับตัวดีขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปีที่ผ่านมา (YoY) โดยรายได้จากการให้บริการทั้งปี 2567 เติบโต 4.6% สูงกว่าแนวโน้ม การปรับตัวดีขึ้นของรายได้จากการให้บริการมาจากการเติบโตของรายได้ในทุกกลุ่มธุรกิจ และการปรับสมดุลการแข่งขันด้านราคาอย่างต่อเนื่องในกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และออนไลน์ ทรู คอร์ปอเรชั่นรายงานรายได้รวมเติบโต 0.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยรายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ (ARPU) ในทุกกลุ่มธุรกิจ แต่ถูกลดทอนบางส่วนจากรายได้การขายผลิตภัณฑ์ที่ลดลง เนื่องจากการปรับลดเงินสนับสนุนค่าเครื่องโทรศัพท์
สำหรับไตรมาส 4/2567 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (ไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย หรือ D&A) ลดลง 7.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมและวินัยทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ต้นทุนเครือข่ายลดลง 0.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากการประหยัดต้นทุนจากการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยและการจัดซื้อจัดจ้าง ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ลดลง 22.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับผลประโยชน์จากการควบรวมในหลายด้าน โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างองค์กรให้ทันสมัย การริเริ่มกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ ๆ และประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ด้วยการบูรณาการกรอบการดำเนินงานที่มุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืน ทรู คอร์ปอเรชั่นสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
ทรู คอร์ปอเรชั่นบันทึกการเพิ่มขึ้นของ EBITDA จำนวน 5.8 พันล้านบาท นับตั้งแต่การควบรวมกิจการ ซึ่งนับเป็นการเติบโตของ EBITDA เป็นไตรมาสที่ 8 ติดต่อกัน สำหรับไตรมาสที่ 4/2567 EBITDA เพิ่มขึ้น 12.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 1.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยภาพรวมปี 2567 EBITDA เพิ่มขึ้น 14.5% สูงกว่าแนวโน้ม โดยการเติบโตของ EBITDA มาจากการปรับตัวดีขึ้นของรายได้ ผลประโยชน์จากการควบรวม และวินัยทางการเงิน อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่การควบรวมกิจการที่ 60.6% ในไตรมาส 4/2567
ในไตรมาส 4/2567 ทรู คอร์ปอเรชั่นบันทึกผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-time costs) จำนวน 1.11 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้มีผลขาดทุนสุทธิหลังหักภาษี 7.5 พันล้านบาท รายการพิเศษที่ไม่ใช่เงินสดเกี่ยวข้องกับการด้อยค่าสินทรัพย์จากการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยและสินค้าคงเหลือ การด้อยค่าประจำปีของค่าความนิยมและเงินลงทุน และผลขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม ทรู คอร์ปอเรชั่นยังได้ตั้งสำรองค่าใช้จ่ายเป็นเงินสดสำหรับค่าชดเชยที่ต้องจ่ายหน่วยงานท้องถิ่นในปี 2568 เมื่อปรับปรุงรายการพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียวเหล่านี้ กำไรสุทธิหลังหักภาษีอยู่ที่ 3.6 พันล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 451 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากการปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA และการลดลงของต้นทุนทางการเงิน ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) สำหรับไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ 1.14 หมื่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่จากการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย
สำหรับแนวโน้มปี 2568 บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) และโรมมิ่งภายในประเทศกับ NT เติบโต 2-3% เมื่อเทียบกับปีก่อน EBITDA จะเติบโต 8-10% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) รวมการบูรณาการคาดว่าจะอยู่ที่ 2.8-3 หมื่นล้านบาท โดยปี 2568 ทรู คอร์ปอเรชั่น คาดว่าจะมีกำไรสุทธิหลังหักภาษี ตามรายงานและได้พิจารณาความเป็นไปได้ในการจ่ายเงินปันผลมากกว่า 50% ของกำไรสุทธิ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการอนุมัติของคณะกรรมการ