
SICT โชว์รายได้ปี 67 แตะ 662 ล้านบาท รับไมโครชิปหนุน เคาะปันผล 0.084 บาท
SICT รายงานผลประกอบการปี 2567 รายได้ 661.8 ล้านบาท กำไรสุทธิ 101.2 ล้านบาท รับรายได้จากไมโครชิปกลุ่มระบบลงทะเบียนสัตว์ เคาะจ่ายปันผล 0.084 บาทต่อหุ้น พร้อมเผยแผนเติบโตในระยะยาว
บริษัท ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SICT ผู้ออกแบบและจำหน่ายไมโครชิพอัจฉริยะสัญชาติไทย รายงานผลประกอบการสำหรับปี 2567 มีรายได้จำนวน 661.8 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยที่ร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับปี 2566 เนื่องจากปัจจัยท้าทายของสภาพตลาดและอุตสาหกรรม รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโดยรวม โดยรายได้ในปี 2567 มีสัดส่วนหลักมาจากไมโครชิปกลุ่มระบบลงทะเบียนสัตว์ (Animal Identification) ซึ่งเติบโตได้ดีเยี่ยมและไมโครชิปกลุ่ม IoT ในภาคอุตสาหกรรม (Industrial IoT) ที่ยังคงรักษาระดับสัดส่วนรายได้ โดยบริษัทรักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่ค่อนข้างสูงเป็นไปตามแผนที่ร้อยละ 43 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 101.2 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิที่ร้อยละ 15
โดยในปี 2567 รายได้จากไมโครชิปกลุ่มระบบลงทะเบียนสัตว์ (Animal Identification) ในปี 2567 มีจำนวน 379.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 จากคำสั่งซื้อของลูกค้าในยุโรปที่เพิ่มขึ้น ไมโครชิปกลุ่ม IoT ในภาคอุตสาหกรรม (Industrial IoT) มีจำนวน 200.5 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยร้อยละ 5 จากการลดลงของรายได้จากลูกค้าในเอเชีย รายได้จากไมโครชิปกลุ่มระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ (Immobilizer) มีจำนวน 79.4 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 42 เนื่องจากรายได้ที่ลดลงจากลูกค้าในทวีปยุโรปและอเมริกา โดยเห็นสัญญาณหดตัวทั้งภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566
ทั้งนี้ รายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่ ULTX คิดเป็นสัดส่วนรายได้ที่สำคัญของกลุ่มจากคำสั่งซื้อของลูกค้าในทวีปยุโรป และไมโครชิป กลุ่ม NFC และอื่นๆ มีรายได้จำนวน 2.7 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 82 ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ตลาดมีการพัฒนาใช้เทคโนโลยีและ Ecosystem เพื่อใช้งานในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้ช้ากว่าคาด
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวมีปัจจัยบวกสนับสนุนการเติบโตหลายประการ ทั้งจากการทยอยบังคับใช้ป้ายทะเบียนสัตว์อิเล็กทรอนิกส์ (Tag) จากทั้งในทวีปออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา รวมถึงประเทศอื่นๆอีกในอนาคต เทรนด์ด้าน Industrial Automation และ Digital Healthcare ที่ทวีความสำคัญขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงทิศทางในการสนับสนุนของหน่วยงานภาครัฐไทยต่างๆทั้งในส่วนการลงทุนที่สนับสนุน Ecosystem ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และการผลิตผู้เชี่ยวชาญและกำลังคนเข้าสู่อุตสาหกรรม อีกทั้ง แผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทเองที่จะทยอยเข้าสู่ตลาดในช่วงถัดไปที่ครอบคลุมในเทคโนโลยีที่สนับสนุนตลาด Animal ID, Industrial IoT และ NFC Sensors โดยบริษัทยังคงตั้งเป้าหมายในการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตในช่วงถัดไป (Ups of the Business Cycle) อยู่ที่ร้อยละ 20-25
ด้านสถานการณ์สินค้าคงคลังของบริษัทนั้นได้มีการทยอยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากสิ้นปี 2566 จากการทยอยส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้า นอกจากนี้ บริษัทดำรงอัตราส่วนสภาพคล่อง 3.45 เท่า สะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการสภาพคล่องโดยรวมที่มีประสิทธิภาพ อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) ได้ปรับตัวลดลงอยู่ที่ 0.31 เท่าจากการทยอยชำระหนี้คืนแก่สถาบันการเงิน สะท้อนให้เห็นถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท และความสามารถในการกู้ยืมเพิ่มเติมเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
สำหรับปี 2567 ที่ผ่านมา จากความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจ พัฒนาเทคโนโลยีและกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับแนวคิดด้านความยั่งยืน บริษัทได้รับการคัดเลือกในการจัดอันดับอยู่ในทำเนียบ Best Under A Billion 2024 สุดยอดบริษัทมหาชนยอดเยี่ยมแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประจำปี 2567 จากนิตยสาร Forbes Asia อีกทั้ง บริษัทคว้ารางวัลในกลุ่ม “Business Excellence” จากงาน SET Awards ประจำปี 2567 ถึง 2 รางวัล ได้แก่
รางวัล Best Innovative Company Awards ซึ่งได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และรางวัล Outstanding Investor Relations Awards ซึ่งได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และได้รับผลการประเมิน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้อยู่ในระดับ “A” นอกจากนี้ บริษัทได้รับ ESG100 Certificate จากสถาบันไทยพัฒน์ จากการคัดเลือกให้เข้าอยู่ในทำเนียบหุ้น ESG100 ประจำปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และยังได้รับผลการประเมินการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทยประจำปี 2567 อยู่ในเกณฑ์ “ดีเลิศ” ระดับ 5 ดาว จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 รวมถึงได้รับรางวัล Best Investor Relations จากงานประกาศรางวัล IAA Awards for Listed Companies 2024 จัดโดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) อีกด้วย
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทได้มีมติเห็นชอบการจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2567 เป็นเงินสด ในอัตรา 0.084 บาทต่อหุ้น รวมเป็นจำนวนเงินรวม 40,319,990 บาท โดยมีอัตราส่วนการจ่ายปันผล (Dividend Payout Ratio) อยู่ที่ประมาณร้อยละ 40 ดีขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีอัตราส่วนการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ประมาณร้อยละ 12 โดยคณะกรรมการบริษัทและฝ่ายบริหารได้พิจารณาแล้วเห็นว่าสถานการณ์สินค้าคงคลังของบริษัทนั้นได้ทยอยปรับตัวลดลงมุ่งสู่ระดับปกติ รวมถึงอัตราหนี้สินต่อทุนได้ปรับตัวลดลงอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนให้เห็นถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่แข็งแกร่งดีแล้ว จึงพิจารณาจ่ายเงินปันผลในระดับดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทได้กำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อสิทธิในการรับเงินปันผลเป็นวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 และกำหนดการจ่ายเงินปันผลภายในวันที่ 23 พฤษภาคม 2568