
TCAP เปิดกำไรปี 67 แตะ 6.6 พันล้านบาท บอร์ดเคาะปันผล 2.05 บ. ขึ้น XD 11 เม.ย.นี้
TCAP เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2567 มีกำไรสุทธิ 6,646 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน พร้อมเคาะปันผลครึ่งปีหลังในอัตราหุ้นละ 2.05 บาท ขึ้นเครื่องหมาย (XD) 11 เม.ย. 2568 และกำหนดวันที่จ่ายปันผล 30 เม.ย. 2568
นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจในปี 2567 ที่มีการอัตราการขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ และเป็นการเติบโตแบบไม่ทั่วถึง กลุ่มธนชาตจึงให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงของบริษัทในกลุ่ม และดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องมาจากปีก่อน ส่งผลให้บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมในปี 2567 จำนวน 7,027 ล้านบาท
โดยเป็นกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ จำนวน 6,645 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7% จากปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ จำนวน 6,603 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่ TCAP ลงทุนในบริษัทร่วมที่เติบโตขึ้นถึง 19% จากปีก่อน Y-Y ตามผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากผ่านช่วง COVID-19 มา
อย่างไรก็ตาม รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับลดลงตามปริมาณสินเชื่อเช่าซื้อของราชธานีลิสซิ่ง (THANI) ที่ปรับลดลง ตามนโยบายการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นและการชะลอตัวของตลาดรถบรรทุก และการผิดนัดชำระหนี้ลูกค้าบัญชีกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์และการปิดสถานะสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ในไตรมาสสุดท้ายของปี แต่ในภาพรวมแล้ว ผลการดำเนินงานของปี 2567 ยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ เมื่อพิจารณาจากปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่ม
สำหรับปี 2568 เศรษฐกิจไทยยังคงต้องเผชิญความกดดันจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน อาทิ นโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงและยังคงเติบโตแบบไม่ทั่วถึง และอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทย่อยและบริษัทร่วมของ TCAP ดังนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเติบโตแบบไม่ทั่วถึงดังกล่าว การดำเนินธุรกิจของกลุ่มธนชาตในปี 2568 จึงยังคงเน้นเรื่องการสร้างความมั่นคงของบริษัทในกลุ่ม และดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง เติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ ที่มีศักยภาพต่อไป
ถึงแม้ว่าในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทฯและบริษัทย่อยจะมีผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นเล็กน้อย แต่ผลการดำเนินงานในอนาคตยังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น คณะกรรมการบริษัทฯ จึงได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในอัตราหุ้นละ 1.25 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่จ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 1.20 บาท และคณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้มีมติให้เสนอต่อผู้ถือหุ้นเพื่อจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 2.05 บาท ซึ่งเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลแล้ว จะเป็นเงินปันผลที่จ่ายสำหรับผลการดำเนินงานปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 3.30 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่จ่ายในอัตราหุ้นละ 3.20 บาท โดยวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) 11 เม.ย. 2568 และกำหนดวันที่จ่ายปันผลวันที่ 30 เม.ย. 2568