
WTI-Brent ร่วง 3% คลายกังวลสงคราม “ตะวันออกกลาง” – เจอเชื้อไวรัสใหม่
ราคาน้ำมันดิบ WTI-Brent ปรับตัวลดลง 3% นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงในตะวันออกกลาง ขณะที่อู่ฮั่นค้นพบเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในค้างคาว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างหนักในวันศุกร์ โดยสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส อินเตอร์มีเดียต (WTI) ปิดร่วงลงกว่า 2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงในตะวันออกกลาง และยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับแนวโน้มข้อตกลงสันติภาพในยูเครน
โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเมษายน ลดลง 2.08 ดอลลาร์ หรือ 2.87% ปิดที่ 70.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) ส่งมอบเดือนเมษายน ร่วงลง 2.05 ดอลลาร์ หรือ 2.68% ปิดที่ 74.43 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมัน WTI ลดลง 0.5% และเบรนท์ปรับตัวลดลง 0.4% ท่ามกลางปัจจัยกดดันจากสถานการณ์ระหว่างประเทศและข้อมูลปริมาณสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ตลาดน้ำมันได้รับแรงกดดันจากปัจจัยสำคัญหลายประการ ได้แก่ ความสงบในตะวันออกกลางหลังการหยุดยิงในฉนวนกาซา ซึ่งช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านอุปทานน้ำมัน รายงานการค้นพบเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในค้างคาวโดยนักวิจัยจากสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น (Wuhan Institute of Virology) ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันร่วงลงทันทีราว 2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
รวมถึงปริมาณสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ตามรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) ซึ่งระบุว่าการซ่อมบำรุงโรงกลั่นในช่วงฤดูกาลส่งผลให้การกลั่นน้ำมันลดลง นอกจากนี้ บริษัทบริการด้านพลังงาน Baker Hughes รายงานว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน โดยล่าสุดอยู่ที่ 592 แท่น ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความสงบในตะวันออกกลางจะช่วยลดความกังวลในตลาด แต่สงครามในยูเครนยังคงส่งผลต่อแนวโน้มราคาน้ำมัน โดยเฉพาะจากการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของรัสเซีย รัสเซียเปิดเผยว่า การส่งออกน้ำมันผ่านท่อส่งน้ำมัน Caspian Pipeline Consortium (CPC) ลดลง 30-40% เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หลังจากยูเครนโจมตีสถานีสูบน้ำด้วยโดรน อย่างไรก็ตาม แหล่งน้ำมัน Tengiz ของคาซัคสถานยังคงดำเนินการส่งออกตามปกติ ขณะที่คาซัคสถานสามารถผลิตน้ำมันแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้เส้นทางส่งออกบางส่วนได้รับความเสียหาย
อีกปัจจัยที่นักลงทุนจับตามองคือท่าทีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ความขัดแย้งทางการทูตทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากเซเลนสกีวิจารณ์ว่าสหรัฐฯ และรัสเซียเจรจาข้อตกลงสันติภาพโดยไม่มีส่วนร่วมของยูเครน ขณะที่ทรัมป์กล่าวโทษยูเครนว่าเป็นต้นเหตุของสงครามที่ดำเนินมา 3 ปี อย่างไรก็ตาม หลังการพบปะกับทูตพิเศษของทรัมป์เมื่อวันพฤหัสบดี เซเลนสกีกล่าวว่ายูเครนพร้อมทำข้อตกลงด้านการลงทุนและความมั่นคงกับสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว
นักวิเคราะห์จาก StoneX ระบุว่า แม้ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้จะถูกกดดันจากปัจจัยหลายด้าน แต่ตลาดยังคงจับตาดูความเคลื่อนไหวของกลุ่มโอเปกพลัส ซึ่งอาจตัดสินใจชะลอการลดกำลังการผลิตอีกครั้ง หากราคาน้ำมันยังคงต่ำกว่าระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ความเสี่ยงจากสถานการณ์ในยูเครนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจหนุนราคาน้ำมันในระยะสั้น นักลงทุนยังต้องติดตามท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ และการตอบสนองของรัสเซียต่อข้อพิพาทด้านพลังงานที่เกิดขึ้นในภูมิภาค