
TOP เดินหน้า CFP เต็มสูบ! ผู้ถือหุ้นอนุมัติ 6.3 หมื่นล้าน โบรกเชียร์ซื้อ เป้าสูง 35.50 บ.
ผู้ถือหุ้น “ไทยออยล์” โหวตผ่านฉลุย! เพิ่มเงินลงทุนโครงการพลังงานสะอาดกว่า 6.3 หมื่นล้านบาท พร้อมมอบอำนาจบอร์ดเบ็ดเสร็จ แก้ปัญหางานก่อสร้างชะงักหลัง UJV เตะถ่วง ให้เสร็จตามแผนภายในไตรมาส 3/71 ยัน D/E ไม่เกิน 1 เท่า เมื่อโครงการ CFP เสร็จ เสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน วอลุ่มการผลิตเพิ่มเป็น 4 แสนบาร์เรลต่อวัน รวมทั้งมาร์จิ้นดีขึ้น ส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้นระยะยาว 3 โบรกฯ ให้ราคาเป้าหมาย 30-35.50 บาท
นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า ที่ประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยคะแนนเสียงข้างมากของผู้ถือหุ้นคิดเป็น 89.73% ที่มาประชุมและออกเสียงลงคะแนน มีมติอนุมัติการเพิ่มเงินลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือ CFP) เป็นจำนวนเงินประมาณ 63,028 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 1,776 ล้านเหรียญสหรัฐ และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 17,922 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 505 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยมีมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมดของโครงการ CFP เป็นจำนวนเงินประมาณ 241,472 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 7,151 ล้านเหรียญสหรัฐ และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 37,216 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 1,078 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ ได้อนุมัติการมอบอำนาจให้คณะกรรมการบริษัท หรือบุคคลที่คณะกรรมการบริษัทมอบหมายเป็นผู้มีอำนาจดำเนินการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงการเจรจา กำหนด ตกลง ทำให้เสร็จสมบูรณ์ ลงนามในสัญญาและเอกสารที่เกี่ยวข้อง และการแก้ไขเปลี่ยนแปลงวิธีการ ระยะเวลาขั้นตอนการดำเนินงานของโครงการ CFP หรือการกระทำการอื่นใดตามความเหมาะสม และจำเป็นเพื่อให้การดำเนินโครงการ CFP แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มผู้รับเหมาช่วงโครงการ CFP ได้นัดหยุดงานประท้วง UJV-Samsung, Petrofac และ Saipem ผู้รับเหมาหลัก หลังจากไม่ยอมชำระค่าตอบแทนค้างจ่ายกับผู้รับเหมาช่วง จนเกิดความล่าช้าต่อโครงการ และล่าสุด TOP ได้ยึดเงินหลักประกันจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท จากกลุ่ม UJV
ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการบริษัท ไทยออยล์ ได้พิจารณาเงินเพิ่มทุนโครงการ CFP ดังกล่าว พร้อมเร่งก่อสร้างให้เสร็จภายในไตรมาส 3/2571 และได้ยืนยันว่าการเพิ่มเงินงบประมาณก่อสร้างโครงการครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการจ่ายเงินปันผลของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมส่วนใหญ่มาจากเงินสดคงเหลือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานและการกู้ยืม ดังนั้นบริษัทยังคงพิจารณาจ่ายเงินปันผลตามนโยบายจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 25% ของกำไรสุทธิของงบการเงิน ภายหลังจากการหักทุนสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัทและตามกฎหมายได้
สำหรับแผนจัดหาเงินทุน ประกอบด้วย 1.เงินสดคงเหลือและกระแสเงินสดจากการดําเนินงานของบริษัทปี 2568-2570 2.การออกหุ้นกู้ หรือการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งพิจารณาหาเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ เช่น การออกตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน รวมถึงการบริหารจัดการทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไทยออยล์ยืนยันว่าไม่มีแผนการเพิ่มทุน จากการเพิ่มงบประมาณในการก่อสร้างโครงการในครั้งนี้แต่อย่างใด
ทั้งนี้ ไทยออยล์มั่นใจว่างบประมาณที่ขอเพิ่มเติมเพียงพอต่อการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จ โดยได้ศึกษาและประเมินร่วมกับที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้วยความระมัดระวังว่าสามารถดำเนินโครงการนี้ได้ตามงบประมาณที่วางไว้ บริษัทจะบริหารจัดการงบประมาณให้ดีที่สุด
นอกจากนี้ จากการศึกษาและประเมินของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ แม้ว่าอัตราผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ระดับโครงการจากเดิมอยู่ที่ 12% ได้ปรับลดลงเหลือ 7% เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่การเพิ่มเงินลงทุนไม่กระทบต่ออัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ไม่เกิน 1 เท่า เมื่อโครงการ CFP แล้วเสร็จ จะทำให้ไทยออยล์มีผลประกอบการทางการเงิน ทั้งในส่วนรายได้ผลกําไร และฐานะทางการเงินดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน วอลุ่มที่เพิ่มขึ้นจาก 2.75 แสนบาร์เรลต่อวัน เป็น 4 แสนบาร์เรลต่อวัน รวมทั้งมาร์จิ้นที่ดีขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อบริษัทและผู้ถือหุ้นในระยะยาว
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายหุ้นบริษัท ไทยออยล์ เป็น 35.50 บาท จาก 30 บาท, บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประกาศปรับราคาเป้าหมายหุ้น TOP เป็น 33 บาท และบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ปรับเพิ่มคำแนะนำเชิงกลยุทธ์เป็น “ซื้อ” TOP และเพิ่มราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ขึ้นเป็น 30.10 บาท