“ดาโอ” มองกนง.ลดดอกเบี้ย แนะลงทุน “หุ้นได้-เสีย” ประโยชน์

“บล.ดาโอ” คาดการประชุม กนง. 26 ก.พ. 68 จะผลักดันการลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลบวกต่อกลุ่มไฟแนนซ์-ไฟฟ้า และที่อยู่อาศัย ขณะที่กลุ่มธนาคารได้รับผลกระทบจากการปรับลดดอกเบี้ย แต่ยังคงประเมินการเติบโตของกำไรในปี 2568 ที่ 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (25 ก.พ. 68) บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ระบุผ่านบทวิเคราะห์ถึงแนวโน้มการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 26 ก.พ. 68 ว่ามีแรงกดดันเพิ่มขึ้นในการพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลให้บางหุ้นได้รับผลดี ขณะที่บางหุ้นอาจได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจในครั้งนี้ โดยมีรายละเอียดของหุ้นที่จะได้-เสียประโยชน์ ดังนี้

ทั้งนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์ประเมินกลุ่มธนาคารมีแนวโน้มเป็นลบ เนื่องจากคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งได้ปรับประมาณการกำไรของกลุ่มธนาคารไปแล้ว 1 ครั้ง ที่การปรับลด 0.25% โดยกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่จะได้รับผลกระทบเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ให้ราคาเป้าหมายที่ 186.00 บาท, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ให้ราคาเป้าหมายที่ 27.50 บาท, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK และ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB

ขณะที่ฝ่ายนักวิเคราะห์ประเมินกลุ่ม Finance เป็นบวก โดยคาดว่า บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC, บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD, และ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR จะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่ทยอยปรับตัวลดลง

ขณะเดียวกันฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่าเป็นบวกต่อกลุ่ม ที่อยู่อาศัย เนื่องจากต้นทุนของผู้ซื้อลดลง ส่งผลบวกต่อกำลังซื้อที่ดีขึ้น, rejection rate มีโอกาสลดลง และต้นทุนดอกเบี้ยของผู้ประกอบการก็ลดลงด้วย โดยบริษัทที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์มากที่สุด ได้แก่บริษัทที่มี Backlog, โครงการพร้อมขาย, และอาจมี D/E ratio ที่สูง ได้แก่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 2.10 บาท, บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI ยังคงแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 18.00 บาท และ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI แนะนำ “ขาย” ราคาเป้าหมาย 4.00 บาท

นอกจากนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อกลุ่มไฟฟ้า ซึ่งเป็นกลุ่มที่มี D/E ratio สูงและได้รับประโยชน์จากต้นทุนดอกเบี้ยที่ลดลง โดยหุ้นที่ฝ่ายวิเคราะห์ติดตามและให้คำแนะนำ ได้แก่ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM โดยแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 35.00 บาท, บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 5.00 บาท, บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 40.00 บาท, บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 4.00 บาท, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 40.00 บาท, บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 65.00 บาท และ บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 7.50 บาท

สำหรับกลุ่ม พลังงานและปิโตรเคมี, ฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงมุมมองเป็นบวก เนื่องจากบริษัทในกลุ่มนี้จะได้รับประโยชน์จากต้นทุนดอกเบี้ยที่ลดลงเนื่องจากมี เงินกู้สูง (net D/E ratio มากกว่า 0.8 เท่า) ซึ่งรวมถึง บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท, บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 34.00 บาท, บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 26.00 บาท และ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC คงคำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 21.00 บาท

รวมถึงฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงมีมุมมองบวกต่อกลุ่มอื่น ๆ โดยได้แก่ บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) หรือ AURA โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 18.00 บาท ซึ่งมีโอกาสขยายพอร์ตลูกหนี้ขายฝากจากต้นทุนเงินกู้ที่ลดลง, บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 10.00 บาท โดยได้ประโยชน์จากต้นทุนดอกเบี้ยลดลง เนื่องจากมีสัดส่วนเงินกู้ floating rate 70% และ D/E ratio โดยรวมสูง 2 เท่า

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายนักวิเคราะห์ให้น้ำหนักการลงทุนของ กลุ่มธนาคาร เป็น “มากกว่าตลาด” เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของกำไรในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องอีก 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ valuation ยังคงต่ำ โดยเทรดที่ระดับเพียง 0.68 เท่า PBV (-1.25SD จากค่าเฉลี่ย 10 ปี) ซึ่งฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงเลือก KTB และ BBL เป็น Top pick ขณะที่ SCB จะได้รับผลบวกจากสินเชื่อที่เติบโตในเดือนมกราคม 2568

Back to top button