
PRM เปิดงบปี 67 กำไร 2.1 พันล้านบาท เตรียมปันผล 0.24 บ. ขึ้น XD 6 พ.ค. นี้
PRM เปิดงบปี 67 กำไร 2.1 พันล้านบาท ลดลง 0.24% หลังค่าใช้จ่ายในบริหารเพิ่ม และรายได้ธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันดิบ (COC) ลดลง 12% ขณะที่บอร์ดเคาะปันผล 0.24 บาท ขึ้น XD วันที่ 6 พ.ค. กำหนดจ่ายเงินปันผล 23 พ.ค. 68
บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM รายงานผลการดำเนินงานงวดปี 67 สิ้นสุด 31 ธ.ค.67 มีกำไรสุทธิลดลง ดังนี้
โดยบริษัทรายงานกำไรสุทธิ อยู่ที่ 2,120.19 ล้านบาท ลดลง 0.24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 2,125.39 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุมาจากค่าใช้จ่ายในการบริหาร อยู่ที่ 609.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 586 ล้านบาท อีกทั้ง บริษัทมีค่าใช้จ่ายทางการเงิน อยู่ที่ 325.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 320.40 ล้านบาท ส่วนรายได้อื่นๆ อยู่ที่ 183.3 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 478.10 ล้านบาท
ขณะที่หากมองที่ธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันดิบ (COC) มีรายได้ อยู่ที่ 1,658.50 ลดลง 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 1,889.3 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการขยายธุรกิจที่มีความมั่นคงยั่งยืนภายใต้สัญญาระยะยาว โดยการนำเรือขนส่งน้ำมันดิบ Aframax ที่มีอายุคงเหลือในการให้บริการเพียง 1 ปีมาปรับปรุงดัดแปลงให้เป็นเรือขนส่งและกักเก็บน้ำมันดิบสำหรับแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล Floating Storage and Offloading Vessel (FSO) ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567
ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มให้บริการในเดือนมีนาคม 2568 ภายใต้สัญญาระยะยาว 5 ปี + 5 ปีซึ่งจะทำให้เรือลำดังกล่าวสามารถสร้างรายได้ที่แน่นอนระยะยาวเพิ่มขึ้นภายใต้ธุรกิจ OSV
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีรายได้จากการให้บริการรวม อยู่ที่ 8,790.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 8,086.9 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนพัฒนาธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันดิบ ตั้งแต่ปี 2564 ซึ่งสามารถสร้างรายได้ที่แน่นอนยั่งยืนภายใต้สัญญา Time Charter ระยะยาว และการเพิ่มเรือขนส่งเคมีให้บริการแก่ลูกค้าต่างประเทศมากขึ้น
ขณะที่ กลุ่มธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปและเคมี Petroleum and Chemical Tankers (PCT) มีรายได้ อยู่ที่ 3,591.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ 3,339.30 ล้านบาท เป็นผลมาจากปริมาณการขนน้ำมันสำเร็จรูปและเคมีที่เพิ่มมากขึ้นตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในประเทศ และการขยายฐานลูกค้าเรือเคมีไปยังตลาดต่างประเทศ
โดยในระหว่างปี 2567 บริษัทฯได้นำเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปที่มีระวางบรรทุกใหญ่ขึ้นให้บริการเพิ่มก่อนที่จะปลดระวางเรือขนส่งน้ำมันขนาดเล็กถึง 4 เดือน ซึ่งทำให้กองเรือของบริษัทฯ สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมปันผลจากกำไรสะสม เป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.24 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 6 พ.ค. 68 กำหนดจ่ายเงินปันผล วันที่ 23 พ.ค. 68
นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี PRM เปิดเผยตัวเลขผลประกอบการของปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 8,790.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% และมีกำไรสุทธิที่ 2,249 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรสุทธิจากการดำเนินงานทั้งหมด โดยเปรียบเทียบกำไรสุทธิจากการดำเนินงานของปี 2566 ซึ่งมีกำไรจากการขายเรือจำนวน 312.2 ล้านบาท พบว่ากำไรสุทธิจากการดำเนินงาน ปี 2567 เติบโตขึ้นจากปี 2566 ถึงร้อยละ 18.2
โดยการเติบโตหลักมาจาก ธุรกิจเรือสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (OSV) ที่มีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 65.2% ธุรกิจเรือกักเก็บและผสมน้ำมันกลางทะเล (FSU) ที่สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 13.2% ธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปและเคมี (PCT) ที่มีรายได้เพิ่มขึ้น 7.6% รวมถึงการรับรู้รายได้จากการเข้าซื้อธุรกิจ VC Shipping ที่ทำให้ธุรกิจตัวแทนสายเดินเรือและออกของ (SAS) เติบโตขึ้นถึง 28.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์การให้บริการภายใต้สัญญาระยะยาว และการจายความเสี่ยงจากการลงทุนไปยังธุรกิจที่มีความหลากหลายมากขึ้นเพื่อความมั่นคงและแน่นอนของรายได้
ส่วนปีนี้บริษัทฯ มั่นใจว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์อยู่ในระดับ 8-10% เริ่มต้นจากการปิดดีลบริษัทน้ำมันแห่งชาติอาบูดาบี (ADNOC) ตั้งแต่สิ้นปี 2567 โดยเริ่มให้บริการเรือ Hybrid Crew Boat เพิ่มจำนวน 2 ลำแล้วตั้งแต่มกราคม 2568 ที่ผ่านมา รวมถึงเรือขนส่งและกักเก็บน้ำมันดิบสำหรับแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล (Floating Storage and Offloading) หรือ FSO ที่พร้อมให้บริการในเดือนมีนาคม 2568 ที่จะถึงนี้
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจ OSV (Offshore Support Vessel) ต่อเนื่อง โดยจะรับเรือ Crew Boat ต่อใหม่เข้ามาอีก 2 ลำภายในมีนาคม 2568 และไตรมาส 2/68 ตามลำดับ โดยการขยายธุรกิจ OSV เป็นอีก 1 กลยุทธ์หลักของบริษัทฯ ที่จะช่วยลดความผันผวนให้กับธุรกิจอื่น เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ให้บริการภายใต้สัญญาระยะยาวและเป็นรูปแบบสัญญา Time Charter ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากลูกค้าจะเป็นผู้รับผิดค่าใช้จ่ายของน้ำมันที่ใช้ในการเดินเรือ พร้อมเดินหน้าการขยายตลาดต่างประเทศต่อเนื่อง โดยเริ่มให้บริการบริษัทน้ำมันแห่งชาติอาบูดาบี (ADNOC) ภายใต้สัญญาระยะยาว 5 ปี ตั้งแต่ต้นปี 68 ไปเป็นเรียบร้อยแล้วตามที่กล่าวไปข้างต้น นับเป็นการเปิดโอกาส ขยายฐานลูกค้าต่างประเทศในอนาคต
“สำหรับการดำเนินงานในไตรมาส 1/68 คาดว่าจะสามารถสร้างผลงานได้ตามแผนที่วางไว้ และมั่นใจว่าในปีนี้จะรักษาอัตราการเติบโต และรายได้ให้เป็นไปตามเป้า จากสัญญาณภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศที่มีแนวโน้มฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และภาคการท่องเที่ยวที่กำลังเข้าสู่ช่วง High-Season ทำให้ความต้องการใช้พลังงานเชื้อเพลิงภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น” นายวิริทธิ์พล กล่าว