
SNNP วางเป้ารายได้ปีนี้โต 15% ชูธง “เบนโตะ-เจเล่” หนุน! ตอกย้ำในไทยเบอร์ 1
SNNP วางเป้ารายได้ปีนี้โต 15% ชูแบรนด์ “เบนโตะ-เจเล่” หนุนแกร่ง ตอกย้ำเบอร์ 1 ในไทย แย้มยอดขาย “เวียดนาม” กลับมาสดใส หลังปรับกลยุทธ์ตลาดพร้อม เล็งหาพาร์ทเนอร์ต่างประเทศ ดันผลงานโตเข้าเป้า พร้อมวางงบลงทุนปีนี้ 80-100 ล้านบาท เน้นบำรุงรักษาเครื่องจักรและโรงงาน และพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง
นายฐากร ชัยสถาพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ว่าผลการดำเนินงานปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 651.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.4 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากรายได้จากการขายในประเทศเท่ากับ 4,654.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 262.2 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.0 เมื่อเทียบกับปีก่อนส่งผลให้รายได้รวมอยู่ที่ 5,983.40 ล้านบาท
แม้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังคงชะลอตัว แต่บริษัทสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าหลักที่ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุด ทั้งในกลุ่ม “เบนโตะ” ที่ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นจาก 72.7% เป็น 75.8% และในกลุ่มแบรนด์ “เจเล่” ที่ครองส่วนแบ่งตลาดสูงกว่า 80% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่มั่นคง
สำหรับทิศทางในปี 2568 บริษัทจะมุ่งเน้นกลยุทธ์ 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1) ใช้แบรนด์ที่แข็งแกร่งเป็นตัวนำ โดยเน้นสินค้าที่เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค เช่น เจเล่และเบนโตะ 2) เพิ่มประสิทธิภาพการครอบคลุม (Optimize Coverage) และพิจารณาช่องทางจัดจำหน่ายของแต่ละสินค้า 3) ใช้ข้อมูล Data ที่มีเพื่อทำ Consumer Promotion และ Consumer Activity ให้มีความแม่นยำมากขึ้นและประหยัดค่าใช้จ่าย
ในส่วนของกลยุทธ์ต่างประเทศบริษัทได้เปลี่ยนจาก Exporter Ship มาเป็น Distributor Ship โดยหาพาร์ทเนอร์ในต่างประเทศมากขึ้นเพื่อช่วยกระจายสินค้า และวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดร่วมกัน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรในประเทศต่างๆ เช่น ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน มาเลเซีย และอินโดนีเซีย และมีการปรับปรุงสินค้าให้เหมาะสมกับตลาดนั้นๆ ทั้งด้านรสชาติ ราคา และโปรโมชั่น
บริษัทวางเป้าหมายในการเติบโตของรายได้รวม (Total Revenue) ในปี 2568 ที่ประมาณ 15% โดยคาดว่าในประเทศจะเติบโตประมาณ 10% และต่างประเทศจะเติบโต 25% ในส่วนของผลิตภัณฑ์คาดว่าการเติบโตของขนมขบเคี้ยวจะเติบโตประมาณ 16% และกลุ่มเครื่องดื่มเติบโตประมาณ 14%
สำหรับสถานการณ์กำลังซื้อในประเทศไทยในปีนี้ คาดว่าจะมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยเศรษฐกิจโดยรวมคาดว่าจะเติบโตประมาณ 3% ส่วนการขยายตลาดในต่างประเทศบริษัทเน้นการสร้างพันธมิตรกับผู้จัดจำหน่ายในประเทศต่างๆ เช่น ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งตลาดเหล่านี้มีศักยภาพในการเติบโตสูงและมีความต้องการสินค้าอยู่แล้ว การทำการตลาดในประเทศเหล่านี้จะเน้นการสร้างความรู้จักแบรนด์และปรับตัวให้เข้ากับท้องถิ่น (Localization) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละประเทศ
อย่างไรก็ตาม ตลาดเวียดนามในปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้ยอดขายลดลง แต่การปรับกลยุทธ์และการปรับปรุงการจัดจำหน่ายทำให้ยอดขายเริ่มกลับมาเติบโตอย่างชัดเจน และคาดว่าจะเติบโตขึ้นในปี 2568
สำหรับแผนการลงทุนในปีนี้ บริษัทไม่ได้มีแผนการลงทุนเพิ่มเติมในโครงการใหญ่ เนื่องจากได้ลงทุนในการสร้างโรงงานในเวียดนามเสร็จเรียบร้อยแล้ว งบประมาณที่วางไว้จึงมุ่งเน้นไปที่การบำรุงรักษาเครื่องจักรและโรงงาน รวมถึงการพัฒนาและบำรุงรักษาสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยประมาณงบประมาณในการดูแลทั้ง 6 โรงงานอยู่ที่ 80-100 ล้านบาท
ส่วนเรื่องเงินกู้ระยะสั้นที่สูงขึ้น บริษัทได้ปรับโครงสร้างแหล่งเงินทุนเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต แม้เงินกู้ระยะสั้นจะเพิ่มขึ้น แต่บริษัทยังคงมีอัตราส่วนที่ดีในแง่ของสภาพคล่อง
บริษัทมีแผนการจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ เช่น การปรับภาษีความเค็ม ค่าจ้างขั้นต่ำ และราคาวัตถุดิบ โดยใช้กลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพ (CEfficiency Management) และการวางแผนล่วงหน้าเพื่อรับมือกับการปรับตัวในด้านต่างๆ เช่น ภาษีหรือราคาวัตถุดิบ
ในด้านการออกสินค้าใหม่ โดยทุกปีบริษัทจะเน้นออกสินค้ารสชาติใหม่ๆ ภายใต้กลยุทธ์ FA Location Strategy เพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภค แต่การลงทุนในแบรนด์ใหม่ๆ หรือสินค้ารุ่นใหม่ๆ จะไม่เป็นเป้าหมายหลักในระยะสั้น เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง