SJWD รายได้ขนส่งพุ่ง ดันกำไรปี 67 โต 47% แตะ 1.1 พันล้าน

SJWD รายงานกำไรปี 67 เติบโต 47% แตะ 1,119 ล้านบาท อานิสงส์รับรู้รายได้รวม 24,705 ล้านบาท จากกลุ่มธุรกิจให้บริการรับฝากและบริหารคลังสินค้า บริการขนส่งระหว่างประเทศ


บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD รายงานผลการดำเนินงานงวดปี 67 สิ้นสุด 31 ธ.ค.67 มีกำไรสุทธิ ดังนี้

โดยบริษัทรายงานกำไรสุทธิปี 67 อยู่ที่ 1,119.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.99% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 761.32 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนมาจากบริษัทมีรายได้รวม 24,705.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม อยู่ที่ 23,979.0 ล้านบาท โดยรายได้เพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินงานของหลายกลุ่มธุรกิจ อาทิ ธุรกิจให้บริการรับฝากและบริหารคลังสินค้าความคุมอุณหภูมิแช่เย็นและแช่แข็ง บริการขนส่งสินค้า Business-to-Business (B2B) และ Direct-to-Customer (D2C) รวมถึงบริการขนส่งระหว่างประเทศ ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน

โดยกลุ่มธุรกิจให้บริการรับฝากและบริหารสินค้าควบคุมอุณหภูมิแช่เย็น และแช่แข็ง มีรายได้ 1,051.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 994.9 ล้านบาท  โดยมีสาเหตุจาก 1.) สถานการณ์ปลาทูน่า มีปริมาณปลาทูน่าที่เก็บในสต็อกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากสถานการณ์ที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนที่ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้จับปลาทูน่าได้ยาก และ 2.) สถานการณ์ไก่เริ่มฟื้นตัว มีสินค้ามาเก็บในสต็อกเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี 2567 เนื่องจากสถานการณ์ราคาไก่ที่ผ่อนคลายลง

ในด้านธุรกิจแบบ Business-to-Business (B2B) บริษัทฯ มีรายได้ 8,429.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 7,890.1 ล้านบาท มีสาเหตุจากการขยายบริการขนส่งให้กับลูกค้าภายในและภายนอกเครือเอสซีจีซึ่งบริษัทฯ ยังคงมุ่งเพิ่มสัดส่วนการขนส่งของลูกค้าเอสซีจีอย่างต่อเนื่องโดยขยายบริการและโครงการใหม่ร่วมกับลูกค้า นอกจากนี้ บริษัทยังขยายสู่ลูกค้านอกกลุ่ม เอสซีจีโดยเน้นกลุ่ม B2B ในพื้นที่ที่เสริมเครือข่ายปัจจุบัน

อีกทั้ง ยังมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนต่อหน่วย ผ่านการรวมปริมาณการขนส่งและการบริหารรอบขนส่งสินค้าไป-กลับ (Headhaul and Backhaul Management) ข้ามภูมิภาคและกลุ่มลูกค้า เพื่อให้เกิดการประหยัดต้นทุนและสร้างผลประโยชน์ร่วมกับทุกภาคส่วนในห่วงโซ่อุปทาน

บริษัทฯ ยังขยายการขนส่งทางน้ำและทางราง (Multimodal) พร้อมเพิ่มการใช้รถบรรทุกไฟฟ้า (EV Truck) เพื่อตอบโจทย์ Green Logistics โดยวางแผนเพิ่มจำนวนรถบรรทุกไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งส่งเสริมให้พนักงานขับขี่อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการฝึกอบรม ECO-Driving เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัย ประหยัดพลังงาน และใส่ใจสิ่งแวดล้อม

ธุรกิจ Direct-to-Consumer (D2C) บริษัทฯ มีรายได้ 2,451.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 2,247.0 ล้านบาท การเติบโตนี้มาจากการขยายตัวของบริการขนส่งสินค้าให้กับลูกค้าทั้งในเครือและนอกเครือเอสซีจีโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าประเภท อาหาร (Food) ที่ได้เริ่มให้บริการขนส่งเบเกอรี่ให้กับ Amazon ภายใต้ OR โดยในไตรมาสนี้ ได้ขยายขอบเขตการขนส่งไปยังภูมิภาคต่างๆ ทำให้ปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นการให้บริการแบบครบวงจร ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal) บริษัทฯ มีรายได้ 804.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 757.0 ล้านบาท การเติบโตนี้ เกิดจากปริมาณงานขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มสินค้าเกษตรในพื้นที่ภาคกลาง

ขณะที่ กลุ่มธุรกิจให้บริการรับฝากและบริหารสินค้าอันตราย มีรายได้ 552.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 513.4 ล้านบาท

ด้าน กลุ่มธุรกิจให้บริการเก็บของใช้ส่วนตัว ของมีค่า ผลงานศิลปะ และจัดเก็บไวน์ มีรายได้ 111.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.9%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 92.5 ล้านบาท การเติบโตอย่างก้าวกระโดดเกิดจากรายได้บริการโลจิสติกส์ ด้านงานศิลปะที่เพิ่มขึ้นทั้งการขนส่งและติดตั้งผลงาน

รวมถึงรายได้จากโครงการเมืองไทยประกันชีวิตในไตรมาสที่ 4/2567 ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนธันวาคม นอกจากนี้รายได้จากบริการเช่าพื้นที่เก็บของส่วนตัวปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จากการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การออกบูธจัดแสดงที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราการใช้พื้นที่เติบโตขึ้น พร้อมกับการเปิดธุรกิจใหม่ Luggage Storage ที่ห้างเซ็นทรัล ฟลอเรสต้า ภูเก็ต และห้างจังซีลอน

กลุ่มธุรกิจให้บริการรับฝากเอกสารและข้อมูล มีรายได้ 164.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 154.7 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตนี้มาจากปริมาณงานในบริการรับฝากเอกสารที่เพิ่มขึ้นทุกเดือนจากลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ รวมถึงการขยายฐานลูกค้าจากบริษัทในเครือและภายนอกเครือที่เข้ามาใช้บริการมากขึ้นภายหลังการรวมกิจการ

สำหรับ กลุ่มธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ในต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ในต่างประเทศ ประกอบด้วย รายได้จากการให้บริการโลจิสติกส์ในประเทศลาว เมียนมาร์กัมพูชาอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โดยให้บริการคลังสินค้า บริการขนส่งสินค้า บริการขนส่งสินค้า ข้ามแดน บริการน าเข้าส่งออกครบวงจร ซึ่งรับรู้ในงบการเงินรวมของบริษัทฯ มีรายได้ 3,589.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 2,758.1 ล้านบาท การเติบโต ดังกล่าวเป็นผลจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศ 1.) อินโดนีเซีย ที่มีรายได้เพิ่มขึ้นจาก งาน Freight และขยายงานกลุ่มลูกค้านอกเครือเอสซีจีมากขึ้น 2.) เมียนมาร์ที่มีการขยายขอบเขตการให้บริการขนส่ง สินค้าจากไทยไปพม่าผ่านทางด่านระนอง และ 3.) เวียดนาม ที่มีการเข้าซื้อกิจการ SCG International Vietnam Co., Ltd. โดยรับรู้รายได้เต็มไตรมาสเป็นครั้งแรกในไตรมาสที่ 4/67

ดร.เอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน  SJWD ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2567 รายได้รวม 6,335 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 185.4 ล้านบาท ชะลอตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรสุทธิที่ชะลอตัวเกิดจากภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้ ประกอบกับบริษัท Phnom Penh SEZ Plc. ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ในประเทศกัมพูชาที่บริษัทฯ เข้าร่วมลงทุน มีการปรับปรุงรายการทางบัญชี จึงต้องเลื่อนบันทึกรายได้จากการขายที่ดินจากไตรมาส 4/2567 เป็นไตรมาส 1/2568 กระทบต่อการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่เข้ามายังบริษัทฯ รวมถึงบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาพรวมผลการดำเนินงานทั้งปี 2567 ยังมีอัตราเติบโตทั้งรายได้และกำไร

โดยทำรายได้รวมทั้งสิ้น 24,705 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 1,119 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 761.3 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการสร้าง Synergy ภายในกลุ่มบริษัทฯ หลังจากรวมกิจการแล้วเสร็จ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุนและช่วยเพิ่มศักยภาพการขยายธุรกิจ

โดยธุรกิจที่เติบโตได้ดีในรอบปีที่ผ่านมา ได้แก่ (1) ธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ในต่างประเทศ มีรายได้ 3,589 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.1% จากปีก่อน จากการขยายธุรกิจและได้รับงานใหม่ เช่น งานขนถ่ายปูนเม็ดเข้าสู่โรงงานผลิตซีเมนต์และลำเลียงซีเมนต์ขาออกไปยังเรือขนส่งแก่ VCM ในเวียดนาม

2) ธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าแบบ D2C (Direct to Consumer) มีรายได้ 2,452 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.1% จาก
ปีก่อน จากการได้รับงานใหม่จาก บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก หรือ OR ให้เป็นผู้ขนส่งสินค้าเบเกอรี่จากโรงงานผลิตไปยังร้าน
คาเฟ่อเมซอนในภาคต่าง ๆ และยังได้รับงานบริหารจัดการคลังสินค้าชั่วคราวและบริการขนส่งสินค้าแก่ดีลเลอร์และลูกค้าของแคเรียร์ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา จากบริษัท บี.กริม แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด (3) ธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าแบบ B2B แม้มีความกังวลผลกระทบจากอุตสาหกรรมซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างที่อยู่ในช่วงชะลอตัว อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีรายได้ 8,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8% จากปีก่อน จากการขยายฐานลูกค้าใหม่และได้รับงานเพิ่มขึ้นจาก SCG ขณะที่ ธุรกิจให้บริการจัดเก็บและบริหารสินค้า ได้แก่ เคมีภัณฑ์และสินค้าอันตราย มีรายได้ 552 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.6% และคลังสินค้าห้องเย็น มีรายได้ 1,052 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.7% จากปีก่อน จากดีมานด์จัดเก็บปลาทะเลที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ในปี 2567 บริษัทฯ ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ (เมื่อไม่รวมรายการรายได้จากค่าความนิยม) จำนวน 344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.6% เนื่องจากในปีที่ผ่านมาได้ขยายการลงทุนโดยเข้าถือหุ้นในบริษัท บมจ.เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ ANI ผู้นำธุรกิจตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบินหรือ Cargo General Sales Agent (GSA) และบริษัท Swift Haulage Berhad หรือ SWIFT (สวิฟท์) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจ Integrated Logistics ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย โดยการลงทุนดังกล่าวมาจากศักยภาพด้านเงินทุนที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ หลังรวมกิจการแล้วเสร็จ

จากผลการดำเนินงานปี 2567 ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 จึงมีมติเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานปี 2567 ที่อัตรา 0.28 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงิน  507 ล้านบาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 23 พฤษภาคม 2568

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน SJWD กล่าวอีกว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 คาดว่าจะอยู่ในระดับที่ดี โดยสถานการณ์เดือนมกราคมที่ผ่านมาเป็นไปตามเป้าหมาย ปัจจัยบวกมากจากธุรกิจให้บริการรับฝากและบริหารยานยนต์ที่จะมีปริมาณขนส่งรถเพิ่มขึ้น หลังจากจบงานมอเตอร์เอ็กซ์โปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และการขยายการให้บริการโลจิสติกส์อย่างต่อเนื่องกับลูกค้ารายสำคัญ อาทิ บริษัท บี.กริม แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด รวมถึงบริษัทพันธมิตรในกลุ่ม SCG นอกจากนี้ บริษัท Phnom Penh SEZ Plc. ในกัมพูชาที่บริษัทเข้าร่วมลงทุน เตรียมรับรู้รายได้จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น

ขณะที่ธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นจะเปิดดำเนินการคลังแห่งใหม่อีก 3 แห่งภายในปีนี้ มีพื้นที่รวมกว่า 21,000 ตารางเมตร รวมถึงมีบริษัทที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ สนใจขยายการลงทุนคลังสินค้าห้องเย็นผ่านบริษัทร่วมทุน นอกจากนี้ บริษัทฯ มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการลดต้นทุนธุรกิจขนส่งสินค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้หลัก เพื่ออัตรากำไรที่ดียิ่งขึ้น

Back to top button