เปิดงบ 9 หุ้น “กลุ่มโรงแรม” ปี 67 กำไรแกร่ง ชู MINT เด่นสุด ฟาด 7.7 พันล้านบาท

ส่องงบปี 9 หุ้นกลุ่มโรงแรมปี 67 กำไรโตแกร่ง พบ MINT เด่นสุดกวาดกำไรทะลุ 7.7 พันล้านบาท หลังธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารเติบโตแกร่ง โบรกแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 34.00 บาท


ปี 2567 ถือเป็นปีที่แข็งแกร่งสำหรับหุ้น กลุ่มโรงแรม ที่จดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์ไทย (ตลท.) ซึ่งได้รับผลประกอบการที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากการฟื้นตัวของ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยบวกจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ใกล้เคียงกับระดับก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 รวมถึงมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐที่ช่วยกระตุ้นการเดินทางภายในประเทศ

ล่าสุด “บจ.” กลุ่มโรงแรมที่ได้ทยอยประกาศผลประกอบการประจำปี 2567 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ซึ่งพบว่า กำไรสุทธิเติบโตอย่างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เช่น MINT, AWC, CENTEL, ERW, LRH, OHTL, SHANG, SHR และยังมีบริษัทที่พลิกมีกำไรอย่าง VRANDA

สำหรับบริษัท บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT รายงานผลประกอบการประจำปี 2567 มีผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 7,750.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.37% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,407.06 ล้านบาท โดยผลประกอบการเติบโตมาจาก ธุรกิจโรงแรมที่มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อน และสูงกว่าปี 2562 ถึง 40% นอกจากนี้ ธุรกิจร้านอาหารก็มีการเติบโตจากการพัฒนาแบรนด์และเปิดตัวร้านค้าใหม่ เช่น ร้านสเต็ก แอนด์ มอร์ ในประเทศไทย และร้านแบทเทอร์แคช ในสิงคโปร์

ขณะที่การขยายธุรกิจไปยังประเทศใหม่ๆ อย่างฟินแลนด์ ซิมบับเว และอินเดีย ก็ช่วยเสริมศักยภาพการเติบโตในตลาดที่มีแนวโน้มขยายตัวสูง รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวทั่วโลกและกลยุทธ์การกำหนดราคาที่มีประสิทธิภาพ ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้กำไรสุทธิของ MINT ในปี 2567 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

บริษัท บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ก็รายงานผลประกอบการในปี 2567 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,850.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.13% เมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนมีกำไรสุทธิ 5,037.86 ล้านบาท โดยมา จากการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) ที่เพิ่มขึ้น 14.8% มาอยู่ที่ 4,200 บาทต่อคืน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด

ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อวัน (ADR) ก็เพิ่มขึ้น 3.8% มาอยู่ที่ 5,873 บาทต่อคืน รวมถึงกำไรจากการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจ (BU EBITDA) ที่เติบโต 11.9% แตะ 11,965 ล้านบาท นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนกำไรจากการดำเนินงานต่อทรัพย์สินถาวร (EBITDA Yield) ยังขยับขึ้นสู่ระดับ 10.10% ปัจจัยเหล่านี้สะท้อนถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและกลยุทธ์การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพของ AWC ซึ่งช่วยผลักดันผลประกอบการให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง

บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL รายงานผลประกอบการในปี 2567 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,752.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.45% เมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,248.10 ล้านบาท โดยรายได้รวมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ธุรกิจโรงแรมมีรายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย (RevPAR) เพิ่มขึ้น 20% มาอยู่ที่ 3,674 บาท จากอัตราการเข้าพักเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นเป็น 71% และราคาห้องพักเฉลี่ย (ARR) ที่เพิ่มขึ้น 13% เป็น 5,180 บาท การเติบโตนี้ได้รับแรงสนับสนุนจากโรงแรมในประเทศไทย ดูไบ และโรงแรมใหม่ในญี่ปุ่น

รวมถึงธุรกิจอาหารก็มีผลการดำเนินงานที่ดีเช่นกัน โดยมีรายได้ 3,393 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) เติบโต 2% และยอดขายรวมทุกสาขา (TSS) เติบโต 6% แบรนด์หลักที่มีส่วนในการเติบโต ได้แก่ เคเอฟซี มิสเตอร์ โดนัท อานตี้ แอนส์ และโอโตยะ

บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW รายงานผลประกอบการในปี 2567 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,280.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72.45% เมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนมีกำไรสุทธิ 742.66 ล้านบาท ได้รับแรงหนุนจากรายได้รวมที่เพิ่มขึ้น 12% มาอยู่ที่ 7,917 ล้านบาท โดยรายได้จากการดำเนินงานก่อนรายการพิเศษอยู่ที่ 6,039 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน และกำไรระดับ EBITDA ก่อนรายการพิเศษที่ 2,645 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19%

ส่วนปัจจัยหลักที่ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโตมาจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยในปี 2567 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา 35.5 ล้านคน สูงกว่าเป้าหมายที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยตั้งไว้ที่ 35 ล้านคน เติบโต 27% จากปีก่อน และคิดเป็นการฟื้นตัว 87% ของปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 นอกจากนี้ กลยุทธ์การปรับเพิ่มราคาห้องพักของบริษัทฯ ส่งผลให้ค่าห้องพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 12% และอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้น 2% ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องพักเติบโต 15% จากปีก่อน

บริษัท ลากูน่า รีสอร์ท แอนด์ โฮเท็ล จำกัด (มหาชน) หรือ LRH รายงานผลประกอบการในปี 2567 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,262.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 243.51% เมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนมีกำไรสุทธิ 367.64 ล้านบาท ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานยังมีส่วนช่วยให้ผลประกอบการดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

บริษัท โอเอชทีแอล จำกัด (มหาชน) หรือ OHTL รายงานผลประกอบการในปี 2567 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 420.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.39% เมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนมีกำไรสุทธิ 277.44 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากรายได้จากการประกอบกิจการโรงแรม โดยมีรายได้รวม 2,701.79 ล้านบาท และมีค่าห้องพักเพิ่มขึ้น 10.50% อันเนื่องมาจากอัตราการเข้าพักที่เพิ่มขึ้น 3.50% และอัตราค่าห้องพักที่เพิ่มขึ้น 2.7% ขณะที่ ต้นทุนทางการเงินลดลง 10.70% เนื่องจากยอดค้างชำระของเงินกู้ยืมลดลงและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่ลดลง

บริษัท แชงกรี-ลา โฮเต็ล จำกัด (มหาชน) หรือ SHANG รายงานผลประกอบการในปี 2567 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 370.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 168.84% เมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนมีกำไรสุทธิ 137.99 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการประกอบการ อยู่ที่ 1,895.55 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 1,696.51 ล้านบาท

บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR รายงานผลประกอบการในปี 2567 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 133.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% เมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนมีกำไรสุทธิ 86.41 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้รวมของกลุ่มบริษัท อยู่ที่ 10,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.70% เมื่อเทียบกับช่วงปีก่อน โดยเฉพาะรายได้จากโรงแรม Outrigger ในฟิจิและมอริเชียส ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 41% อีกทั้ง โครงการ CROSSROADS ในมัลดีฟส์ มีอัตราการเข้าพักและรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

บริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ VRANDA รายงานผลประกอบการในปี 2567 พลิกมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 51.19 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนที่ขาดทุน 140.77 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากในปี 67 กลุ่มบริษัทฯมีรายได้รวม 1,537 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,143 ล้านบาท โดยมีรายได้จากกิจการโรงแรมเป็นสัดส่วนหลัก 80% และมีรายได้จากกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สัดส่วน 15% ของรายได้รวม โดยมีรายได้จากกิจการโรงแรมเพิ่มขึ้น 90 ล้านบาท ซึ่งมาจากรายได้ห้องพักที่เพิ่มขึ้นจากอัตราการเข้าพักเฉลี่ยและอัตราค่าห้องพัก โดยหลักเติบโตจากโรงแรมในกรุงเทพ สมุย และหัวหิน ตามลำดับ ขณะที่รายได้จากกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น 102 ล้านบาท หรือคิดเป็น 83% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่แนวโน้มในปี 2568 นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า หุ้นกลุ่มโรงแรมยังคงมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากการขยายตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจากประเทศจีน ตะวันออกกลาง และยุโรป นอกจากนี้ ยังมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวจากภาครัฐ เช่น โครงการฟรีวีซ่า การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) รวมถึงการขยายตัวของธุรกิจ MICE และการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการที่บริษัทต่างชาติกลับมาจัดงานสัมมนาและอีเวนต์ในประเทศไทยมากขึ้น

ด้วยแนวโน้มที่สดใสนี้ หุ้นกลุ่มโรงแรมจึงยังคงเป็นหนึ่งในกลุ่มที่น่าจับตามองสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสเติบโตในระยะยาว ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ระบุผ่านบทวิเคราะห์ว่าหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวยังมีการเติบโตต่อเนื่อง ล่าสุด กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เตรียมเสนอโครงการ “เที่ยวคนละครึ่ง” เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงโลว์ซีซั่นระหว่างเดือน พฤษภาคม ถึง กันยายน ปี 2568 โดยมีรูปแบบคล้ายโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” แต่ภาครัฐจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายเพิ่มเป็น 50% และนักท่องเที่ยวจ่ายเองอีก 50% โดยจะขออนุมัติงบประมาณ 3,500 ล้านบาท จากรัฐบาลผ่านงบกลางเพื่อดำเนินโครงการนี้

ในระยะแรกจะเปิดให้จอง 1 ล้านสิทธิ์ เพื่อใช้ประโยชน์ในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งสามารถใช้สิทธิ์ในการจ่ายค่าโรงแรมที่พักและร้านอาหาร ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าสามารถใช้สิทธิ์จองตั๋วเครื่องบินได้หรือไม่ และอาจมีการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางร่วมกับบริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) เพื่อรองรับการจองสินค้าและบริการท่องเที่ยว รวมถึงการจองห้องพักโดยตรงจากโรงแรม

โดยฝ่ายนักวิเคราะห์มองบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยวจากโครงการ “เที่ยวคนละครึ่ง” แม้จะมีสิทธิ์เพียง 1 ล้านสิทธิ์ แต่รัฐจะสนับสนุน 50% ซึ่งมากกว่าการสนับสนุน 40% ในโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าโครงการจะเริ่มใช้งานได้ปลายไตรมาส 2/68 ถึงไตรมาส 3/68 ซึ่งหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้มากที่สุด ได้แก่ ERW คิดเป็น 88% รายได้จากไทย, CENTEL คิดเป็น 80%, และ MINT คิดเป็น 15% โดย ERW และ CENTEL คาดการณ์ว่าจะได้ประโยชน์สูงสุดจากทั้งโครงการและการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยว

ทั้งนี้เราให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “มากกว่าตลาด” โดย Top pick ของกลุ่มท่องเที่ยวยังชอบ คือ CENTEL แนะนำ ซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย 44.00 บาท และ MINT ให้ราคาเป้าหมาย 34.00 บาท

Back to top button