“ดาวโจนส์” ปิดลบ 601 จุด หลังสหรัฐเจรจา “ยูเครน” ยุติสงครามล้มเหลว

ดาวโจนส์ ปิดลบ 601 จุด หลังการประชุมผู้นำสหรัฐและยูเครน เพื่อหาข้อตกลงยุติสงคราม ประสบความล้มเหลว พ่วงนักลงทุนกังวลสหรัฐอาจเผชิญภาวะเศรษฐกิจซบเซา


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (1 มี.ค. 68) ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดบวกในวันศุกร์ (28 ก.พ.68) หลังการซื้อขายที่ผันผวน โดยหุ้นเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น แม้การประชุมระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีของยูเครน ประสบความล้มเหลวก็ตาม

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,840.91 จุด เพิ่มขึ้น 601.41 จุด หรือ +1.39%, ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 5,954.50 จุด เพิ่มขึ้น 92.93 จุด หรือ +1.59% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,847.28 จุด เพิ่มขึ้น 302.86 จุด หรือ +1.63%

ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้นเกือบ 1%, ดัชนี S&P500 ลดลงประมาณ 1% และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 3.5% และสำหรับทั้งเดือนก.พ. ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 1.6%, ดัชนี S&P500 ลดลง 1.45% และดัชนี Nasdaq ลดลงประมาณ 4% ซึ่งเป็นการลดลงรายเดือนหนักที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2567

โดยเซเลนสกีและทรัมป์ปะทะคารมกันอย่างดุเดือดในการสนทนาที่ทำเนียบขาวต่อหน้าสื่อทั่วโลก ทำให้เกิดความไม่แน่นอนครั้งใหม่เกี่ยวกับสถานการณ์สงครามยูเครน-รัสเซีย ซึ่งเพิ่มความกังวลให้กับนักลงทุนที่กำลังวิตกเรื่องเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา

ดัชนี S&P500 ปรับตัวลงทันทีหลังจากการเจรจาที่ดุเดือดดังกล่าว ก่อนฟื้นตัวขึ้นได้ และปิดตลาดในแดนบวก

เซเลนสกีออกจากทำเนียบขาวโดยไม่ได้ลงนามในข้อตกลงสำคัญระหว่างยูเครนกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน

“ข่าวที่ออกมา หากคุณดูถ่ายทอดสด มันค่อนข้างน่ากังวล บรรยากาศร้อนแรงมาก และเซเลนสกีถือว่าเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ” อดัม ซาร์ฮาน ซีอีโอของ 50 Park Investments กล่าว

นั่นเป็นสาเหตุที่ตลาดร่วงลงในตอนแรก แต่ต่อมาก็เริ่มสงบลง สุดท้ายแล้ว เซเลนสกีจะทำข้อตกลงหรือไม่ก็ต้องรอดูกันต่อไป

หุ้นทั้ง 11 กลุ่มอุตสาหกรรมในดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น นำโดยกลุ่มการเงินที่พุ่งขึ้น 2.1% ตามด้วยกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น 1.8%

หุ้นเดลล์ (Dell) ร่วง 4.7% หลังจากบริษัทคาดการณ์ว่าอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับปรุงแล้วจะลดลงในปีงบการเงิน 2569

หุ้นเอชพี (HP) ร่วง 6.8% หลังจากคาดการณ์กำไรไตรมาสล่าสุดต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้

ขณะที่หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) และหุ้นเทสลา (Tesla) พุ่งขึ้นเกือบ 4% ซึ่งช่วยหนุนดัชนี S&P500

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รายงานในวันศุกร์ว่า อัตราเงินเฟ้อในเดือนม.ค.ปรับตัวขึ้นตามคาด อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าสองในสามของเศรษฐกิจ ลดลง 0.2% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนธ.ค. ซึ่งอาจทำให้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ต้องพิจารณานโยบายการเงินอย่างรอบคอบ

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.5% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.6% ในเดือนธ.ค. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนม.ค. สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 0.3% ในเดือนธ.ค.

ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ ปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.9% ในเดือนธ.ค. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนม.ค. สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 0.2% ในเดือนธ.ค.

ข้อมูลเศรษฐกิจที่เปิดเผยในวันศุกร์นี้มีความสำคัญต่อนักลงทุนที่พยายามประเมินทิศทางต่อไปของเฟด หลังจากที่เจ้าหน้าที่เฟดยังคงมีท่าทีคุมเข้มนโยบายการเงิน ขณะที่นักลงทุนกังวลว่านโยบายของทรัมป์ โดยเฉพาะมาตรการจำกัดด้านการค้า อาจทำให้ภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐฯ รุนแรงขึ้น

“การพูดถึงภาษีนำเข้ากำลังส่งผลลบต่อตลาดหุ้น และอาจทำให้ตลาดหุ้นถูกกดดันต่อไป จนกว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้” แซม สโตวอลล์ หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนของ CFRA Research กล่าว

ข้อมูลจาก LSEG บ่งชี้ว่า บรรดาเทรดเดอร์คาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งภายในเดือนธ.ค. ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากก่อนการเปิดเผยดัชนี PCE

Back to top button