LEO ตั้งเป้าปี 68 รายได้โต 20% ลุยโลจิสติกส์-ธุรกิจใหม่ พร้อมเดินหน้าแผน ESG

LEO เผยแผนปี 2568 มุ่งขยายธุรกิจโลจิสติกส์ และ Non-Logistics พร้อมเดินหน้าภายใต้แนวคิด “LEO GO GREEN” มุ่งเน้นเติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่ ESG เตรียมรุกตลาด EV Bike และ Power Bank ผ่านการร่วมทุนกับพันธมิตรจีน มั่นใจสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งและเพิ่มสัดส่วนรายได้ใหม่แตะ 30% ตั้งเป้าปี 68 รายได้โต 20%


นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทในงาน Opportunity Day ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 4 มี.ค.68 ว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2567 มีรายได้รวม 1,632.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 47.56 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในปี 2567 บริษัทฯ มีการรับรู้รายได้จากหน่วยธุรกิจใหม่ อาทิ การขนส่งสินค้าทางรางภายในประเทศ ภายใต้บริษัท Sritrang Leo Multimodal Logistics ซึ่งสร้างรายได้ประมาณ 140 ล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตมากกว่า 70% ในปี 2568 ขณะที่การขนส่งทางรางไปยังประเทศจีน-ลาวของบริษัท LaneXang Express มีการเติบโตของรายได้สูงถึง 5 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2566 นอกจากนี้ ธุรกิจส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีนผ่านบริษัท Leo Sourcing & Supply Chain มีการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้นเกือบ 140% โดยเฉพาะการส่งออกทุเรียนที่ขยายตัวอย่างมากในช่วงปลายปี 2567

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังขยายธุรกิจใหม่ อาทิ โครงการ Self-Storage และ Wine Storage สาขาที่ 3 บนถนนพระราม 4 ซึ่งเริ่มรับรู้รายได้แล้ว รวมถึงการให้บริการจัดการโลจิสติกส์และกระจายสินค้าโดยบริษัท Advantis Leo ที่มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ของบริษัทในการเพิ่มรายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่การขนส่งสินค้าหลัก (Non-Freight) และไม่ใช่ธุรกิจโลจิสติกส์โดยตรง (Non-Logistics)

นายเกตติวิทย์ กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจในปี 2568 บริษัทฯ คาดการณ์ว่าจะได้รับปัจจัยบวกจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน แคนาดา และเม็กซิโก ซึ่งส่งผลให้โรงงานต่าง ๆ ย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น ส่งผลให้ผู้นำเข้าสหรัฐฯ หันมาสนใจสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การคาดการณ์ว่าความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนอาจยุติลง จะช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์และฟื้นฟูห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและการค้าโลก

บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “LEO GO GREEN” โดยมุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านหลักการ ESG (Environmental, Social, and Governance) พร้อมทั้งวางแนวทางการพัฒนาองค์กรภายใต้แนวคิด “GREEN” ซึ่งประกอบด้วย 5 เสาหลักสำคัญ ได้แก่

  • G (Growth in All Aspects) – การเติบโตในทุกมิติ
  • R (Robust Performance) – ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง
  • E (ESG Focus) – การดำเนินงานด้าน ESG อย่างเป็นรูปธรรม
  • E (Empowerment) – การส่งเสริมให้พนักงานมีบทบาทในการขับเคลื่อนธุรกิจมากขึ้น
  • N (New Gen / New Tech) – การนำเทคโนโลยีและบุคลากรรุ่นใหม่เข้ามาขับเคลื่อนองค์กร

นายเกตติวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัท ลีโอ ซอร์สซิ่ง แอนด์ ซัพพลายเชน จำกัด (LSSC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ได้ร่วมลงทุนกับ Yunnan Xiaomaolv Information Technology Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในประเทศจีน ดำเนินธุรกิจให้เช่าแบตเตอรี่สำรอง (Power Bank) และจักรยานไฟฟ้า (EV Bike) ผ่านแอปพลิเคชัน โดยมีแผนขยายบริการเข้ามาในประเทศไทยผ่านบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ บริษัท ลีโอ จี๋ทู อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด โดยคาดว่าจะเปิดตัวภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า

ทั้งนี้แนวโน้มผลประกอบการในปี 2568 บริษัทฯ คาดว่าไตรมาสแรกอาจยังไม่ใช่ช่วงพีคของการส่งออกและนำเข้า อย่างไรก็ตาม ช่วงไตรมาสที่ 2-3 คาดว่าจะมีการขนส่งสินค้าทางรางเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้และอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) เติบโตอย่างน้อย 20% เพื่อให้สามารถส่งมอบผลประกอบการที่ดีและเป็นที่พึงพอใจของผู้ถือหุ้น

ด้านแผนการลงทุนในปี 2568 บริษัทฯ ยังไม่มีแผนลงทุนขนาดใหญ่เหมือนในอดีต เช่น โครงการ LEO Self Storage สาขาไชน่าทาวน์ และสาขาพระราม 4 รวมถึงโครงการ LEO COLDBOTIC ศูนย์จัดเก็บและกระจายสินค้า โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนเดิมให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายใช้กลยุทธ์การควบรวมกิจการ (M&A) ที่สามารถสร้างกำไรได้ทันที แทนการเริ่มต้นธุรกิจใหม่จากศูนย์

สำหรับแนวทางการเงิน บริษัทฯ ยืนยันว่าไม่มีแผนการเพิ่มทุน และยังคงมีสภาพคล่องที่เพียงพอสำหรับการดำเนินธุรกิจ รวมถึงการลงทุนที่ไม่สูงมากนัก อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินที่เป็นพันธมิตร

“สุดท้าย คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.14 บาทต่อหุ้น ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อนที่จ่าย 0.16 บาทต่อหุ้น สะท้อนถึงความตั้งใจของบริษัทในการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงให้แก่ผู้ถือหุ้น” นายเกตติวิทย์ ย้ำและกล่าวทิ้งท้ายว่า บริษัทมุ่งมั่นที่จะเป็นองค์กรที่เติบโตอย่างยั่งยืน และเชื่อมั่นว่าธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics จะมีความชัดเจนมากขึ้นในปีนี้และปีหน้า โดยตั้งเป้าหมายให้มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 30% ของธุรกิจโลจิสติกส์โดยรวมภายในระยะเวลาอันใกล้นี้

Company Snapshot

Back to top button