GGC กางแผน 5 ปีอัดงบ 1.5 พันล้าน ลุย 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ปักธงรายได้ปีนี้ทะลุ 2 หมื่นลบ.

GGC วางงบลงทุน 5 ปี (68-72) แตะ 1.5 พันล้านบาท เดินหน้าขยาย 4 กลุ่มธุรกิจหลัก พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “BioSovel-สารเพิ่มความชุ่มชื้นชีวภาพ” เน้นบริหารลดต้นทุน ปักหมุดรายได้ปี 68 ทะลุ 2 หมื่นล้านบาท


นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจปี 68 ยังคงเติบโตแกร่ง เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้และการเติบโตจากการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น พร้อมตั้งเป้ารายได้ปี 68 รวมมากกว่า 20,000 ล้านบาท และคาดการณ์อัตรากำไร EBITDA Margin ใกล้เคียงกับในปัจจุบันประมาณ 4%

สำหรับแผนการดำเนินงานใน 5 ปี (2568-2572) โดยเตรียมความพร้อมเพื่อการขยายและสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจในระยะยาว ด้วยงบลงทุนไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านบาท ในส่วนของแผนการลงทุน เรามุ่งเน้นไปที่ 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.Food & Feed (อุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการ) 2.Cosmetic (อุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว) 3.Pharmaceutical (อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์) และ 4. Industrial Application (อุตสาหกรรมการผลิตและเคมีภัณฑ์เฉพาะทาง)

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ต่อยอดจากผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่ ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 แพลตฟอร์ม ได้แก่ 1) อาหารและส่วนประกอบอาหาร (Food & Feed) 2) เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล (Cosmetics & Personal Care) 3) โภชนเภสัช (Pharmaceuticals) และ 4) เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Industrial Applications)

โดยตั้งเป้าหมาย EBITDA จากผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (HVP) และผลิตภัณฑ์ใหม่ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ในปี 2573 ซึ่งบริษัทฯ ได้ดำเนินการศึกษาโอกาสพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (High Value Products) และผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน (Sustainable Products) เพื่อเพิ่มรายได้และกำไรให้กับบริษัทฯ ในอนาคต

นอกจากนี้ได้เริ่มดำเนินการศึกษาวิจัยผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม (HVP) ซึ่งจะมีการขายออกสู่ตลาดในปี 2568 ทั้งหมด 2 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ตัวทำละลายชีวภาพ ภายใต้แบรนด์ “BioSovel” และผลิตภัณฑ์สารเพิ่มความชุ่มชื้นกลุ่มเคมีชีวภาพ ที่เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง

โดย บริษัทฯ เร่งดำเนินการปรับปรุงกระบวนการผลิตและดำเนินโครงการลงทุน รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2568 อย่างไรก็ตาม โครงการลงทุนสำคัญใช้ระยะเวลาในการศึกษาและก่อสร้างประมาณ 4 ปี การพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม ใช้ระยะเวลาในการทดลองตลาดและสร้างฐานลูกค้า ประมาณ 3-5 ปี ซึ่งจากแผนกลยุทธ์ดังกล่าว บริษัทฯ จะเติบโตอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรมได้ในปี 2572 เป็นต้นไป

ปัจจุบันเราผลิต Fatty Alcohol และส่งให้กับ Tex ซึ่งตอนนี้เรามีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทำให้สามารถส่งมอบวัตถุดิบได้มากขึ้น โดยทาง Tex เองก็นำ Fatty Alcohol ไปใช้ในการผลิตสินค้าเจาะจงซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะทางที่มีมูลค่าสูงขึ้น และเป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรม หาก Tex เติบโต GGC ก็จะเติบโตไปพร้อมกัน เพราะทั้งสองบริษัทมีความเชื่อมโยงกันผ่าน Value Chain ที่สอดคล้องกัน

ในส่วนของการขยายกำลังการผลิต ทาง Tex ได้เตรียมความพร้อมรองรับการเติบโตของ GGC ไว้แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องขยายเพิ่มเติม เราได้เพิ่มกำลังการผลิตตั้งแต่ปีที่แล้ว และได้ดำเนินการ COD เรียบร้อยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งปีนี้เป็นช่วงที่เราเริ่ม Take-off ของกำลังการผลิต

โดยตามแผนที่กำหนดไว้ บริษัทฯ จะมีผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดภายในปีนี้ อย่างไรก็ตาม พันธมิตรของเราได้ขอเวลาเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการปรับปรุงบางประการ โดยยืนยันว่าจะสามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้ภายในไตรมาส 4/68 อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มกำไรที่ลดลงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีแผนดำเนินการเพื่อให้รายได้และกำไรกลับมาเป็นบวก โดยแบ่งเป็น 2 แนวทางหลัก โดยแนวทางแรก คือ การปรับโครงสร้างการดำเนินงาน โดยมีการพิจารณาและบริหารจัดการในส่วนที่ไม่ก่อให้เกิดกำไรอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ และพยายามปรับเปลี่ยนจากธุรกิจที่ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม ไปสู่ธุรกิจที่สามารถสร้างมูลค่าได้สูงขึ้น

โดยธุรกิจบางส่วนในปัจจุบันอาจไม่ได้เป็นแหล่งสร้างกำไรหลัก เช่น ธุรกิจโรงกลั่นชีวภาพที่อาจต้องปรับเปลี่ยนไปสู่ Biochemical ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนในขณะนี้คือ Fatty Alcohol ส่วนผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ยังคงต้องดำเนินการตามกระบวนการขออนุญาต และขั้นตอนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

สำหรับธุรกิจใหม่ เช่น HVT และกลุ่มธุรกิจที่อยู่ในแผนการขยายตัว มีศักยภาพในการสร้าง Margin ที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับธุรกิจเดิม โดยปัจจุบัน EBITDA Margin ของเราจะอยู่ที่ประมาณ 10-14% ดังนั้น ในกลุ่มธุรกิจใหม่ (กลุ่มที่ 3) ตั้งเป้าหมายให้ Margin ไม่ต่ำกว่า 10% เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตธุรกิจโดยรวม

ในส่วนของแผน M&A บริษัทไม่ได้ตัดโอกาสในการเข้าซื้อหรือควบรวมกิจการ แต่การดำเนินงานในเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับ สถานการณ์และจังหวะที่เหมาะสม รวมถึงการพิจารณาความสอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัท หากเราพบโอกาสที่ช่วยให้บริษัทสามารถขยายตัวได้เร็วขึ้น และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ

Back to top button