
KKPS ชู 5 มาตรการเร่งด่วน ฟื้นวิกฤตตลาดหุ้นไทย ดึงเม็ดเงินต่างชาติกลับ
บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร (KKPS) แนะ 5 แนวทางเร่งด่วน เพื่อกู้วิกฤตสภาพคล่องในตลาดหุ้นไทย โดยเน้นการส่งเสริมสภาพคล่องและดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศกลับเข้าไทย พร้อมยกระดับการลงทุนในประเทศให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (5 มี.ค. 68) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKPS ได้ออกมาระบุข้อเสนอแนวทางการกู้วิกฤตตลาดหุ้นไทยที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน โดยมี 5 ข้อเสนอแนะสำคัญดังนี้
1.เร่งมาตรการส่งเสริมสภาพคล่องเพื่อผลักดันตลาดทุนไทยให้เป็น Financial Hub ซึ่งสภาพคล่องเป็นปัจจัยหลักของการลงทุน และเป็นข้อกำหนดที่สำคัญสำหรับนักลงทุนสถาบันทั้งในไทยและต่างประเทศ นอกจากนี้ การถดถอยของสภาพคล่องยังทำให้เกิด Liquidity Discount และกด Valuation ของตลาดลง
2.ดึงเม็ดเงิน Passive Flow จากต่างประเทศ เช่น MSCI และ FTSE กลับเข้าประเทศ โดยต้องศึกษาและเร่งออกมาตรการที่จะช่วยเพิ่มคะแนนของน้ำหนักหุ้นไทยในดัชนี MSCI และ FTSE ซึ่งเม็ดเงินจาก Passive Flow จะสามารถช่วยทดแทนเม็ดเงินจาก Active Flow ที่มีแนวโน้มจะไหลออกอย่างต่อเนื่อง
3.เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของตลาด (Improve Market Efficiency) โดยการกระจายสภาพคล่องนอกเหนือจาก SET100 เพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้กับ Passive Fund และหลีกเลี่ยงการแทรกแซงกลไกตลาดและราคาหุ้น (Price Discovery)
4.ส่งเสริมให้ธุรกรรมทางการเงินและการลงทุนเกิดขึ้นภายในประเทศ (Onshore Market) ด้วยการลดช่องว่างของกฎเกณฑ์และทำให้ธุรกรรม onshore มีต้นทุนที่ต่ำกว่าเพื่อดึงดูดธุรกรรมเข้ามายังประเทศ พร้อมทั้งมีความโปร่งใสและง่ายต่อการกำกับดูแล
5.ศึกษามาตรการส่งเสริมสภาพคล่องจากตลาดทุนต่างประเทศที่เติบโตและมีสภาพคล่องสูง โดยให้ Incentive แก่ Market Maker และ Liquidity Provider เพื่อช่วยลดส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อขาย (Bid-Ask Spread) ซึ่งในบางประเทศ การซื้อขายที่หลักทศนิยมมีสภาพคล่องที่สูงกว่า
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากผลกระทบจากสภาพคล่องของตลาดหุ้นไทย ซึ่งเกิดจากการถดถอยของสภาพคล่อง ทำให้เกิดอุปสรรคในการผลักดันตลาดทุนไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) พร้อมกับสัดส่วนสภาพคล่องของตลาดหุ้นไทยในกลุ่มประเทศอาเซียน (ASEAN) ที่ลดลงมากถึง 37% ระหว่างปี 2562-2567 ในขณะที่สภาพคล่องของตลาดหุ้นเวียดนามกลับเติบโตถึง 400% การขาดแคลนสภาพคล่องที่มีประสิทธิภาพส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งจะยังไม่สามารถกลับมาหากตลาดยังขาดสภาพคล่องที่ดีและเสถียร การเสริมสร้างสภาพคล่องจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยฟื้นฟูและพัฒนาความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยให้กลับมามีความน่าสนใจและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
ขณะที่การถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติในปี 2566 ลดลงอย่างชัดเจน (ไม่รวม strategic holding) โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Free Float Adjusted Market Cap) อยู่ที่ 8.0 ล้านบาท โดยหน่วยวัดเป็นพันล้านบาท และแสดงถึงสัดส่วนต่าง ๆ ของราคาตลาดปรับค่า Free Float ดังนี้: นักลงทุนต่างประเทศถือครองมูลค่า 2,959 ล้านบาท หรือ 37% ของราคาตลาด, สถาบันท้องถิ่นถือครองมูลค่า 2,689 ล้านบาท หรือ 33% ของราคาตลาด และการถือครองของนักลงทุนขายปลีกอยู่ที่มูลค่า 2,401 ล้านบาท หรือ 30% ของราคาตลาด
เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2557 ซึ่งมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Free Float Adjusted Market Cap) อยู่ที่ 6.1 ล้านบาท โดยหน่วยวัดเป็นพันล้านบาท พบว่าในปีนั้นนักลงทุนต่างชาติถือครองมูลค่า 3,226 ล้านบาท หรือ 54% ของราคาตลาด, สถาบันท้องถิ่นถือครองมูลค่า 1,201 ล้านบาท หรือ 20% ของราคาตลาด และการถือครองของนักลงทุนขายปลีกอยู่ที่มูลค่า 1,570 ล้านบาท หรือ 26% ของราคาตลาด
นอกจากนี้ ดัชนี MSCI Thailand ถูกลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่อง โดยเม็ดเงินจาก Passive Fund ต่างประเทศที่ติดตามดัชนี MSCI ได้ไหลออกจากประเทศไทยเป็นจำนวนมากกว่า 2.59 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 90,000 ล้านบาท ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพคล่องที่ถดถอย และน้ำหนักของหุ้นไทยในดัชนี MSCI ที่อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 8 ปีที่ผ่านมา