
SABINA กางแผนปี 68 ลุยตลาดต่างประเทศ-เน้นลดต้นทุน
SABINA เดินหน้าปรับกลยุทธ์รับมือเศรษฐกิจชะลอตัว ควบรวมโรงงานลดต้นทุนผลิต มั่นใจปี 68 โครงสร้างการเงินแข็งแกร่ง พร้อมลุยตลาดต่างประเทศ เล็งเปิดช็อป “ฟิลิปปินส์” 70 แห่งภายในปีนี้
นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA เปิดเผยว่า SABINA เดินหน้าปรับตัวเพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทั้งเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่เผชิญกับความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า ทำให้บริษัทฯ ตัดสินใจดำเนินการควบรวมโรงงานบุรีรัมย์เข้ากับโรงงานยโสธร ซึ่งเป็นผลให้บริษัทฯ ต้องรับรู้ค่าใช้จ่ายจากการควบรวมโรงงาน
โดยเฉพาะการจ่ายค่าชดเชยตามสวัสดิการให้กับพนักงานบางส่วนที่ไม่ได้ย้ายไปโรงงานยโสธรด้วย ปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 113.50 ล้านบาท ลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2566 โดยอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ปี 2567 อยู่ที่ 12.90% ลดลงจากปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 13.40%
“การรับรู้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว ซึ่งเรายอมรับรู้ผลขาดทุนที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (One Time Loss) แต่เป็นการตัดสินใจที่จะส่งผลดีกับบริษัทฯ ในระยะยาว โดยเฉพาะการบริหารต้นทุน เนื่องจากโรงงานบุรีรัมย์ เป็นโรงงานเช่าที่มีภาระค่าเช่า ขณะที่โรงงานยโสธร เราเป็นเจ้าของและเป็นโรงงานที่มีพื้นที่มากพอที่จะขยายไลน์ผลิตในอนาคตได้ในกรณีที่จำเป็น ต้นทุนที่ลดลงทั้งค่าเช่า รวมถึงต้นทุนพนักงาน ทำให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายได้เดือนละ 2 ล้านบาท ซึ่งผลจากต้นทุนที่ลดลงจะสะท้อนให้เห็นชัดเจนในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว” นายบุญชัย กล่าว
นอกจากนี้ SABINA ยังได้รับปัจจัยบวกจากการขึ้นค่าแรง ซึ่งไม่ได้ขึ้นในอัตรา 400 บาทเท่ากันทั้งประเทศ ทำให้ต้นทุนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 14% เพิ่มขึ้นเพียง 2% เท่านั้น เมื่อรวมกับกลยุทธ์การบริหารพนักงาน ที่บริษัทฯ ไม่ได้รับพนักงานใหม่ทดแทนพนักงานเก่าที่ลาออกไป แต่เน้นเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มทักษะและขีดความสามารถในการทำงานของพนักงาน ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนให้โครงสร้างทางการเงินของบริษัทฯ ในปีนี้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น หลังจากที่ในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีกำไรต่อหุ้น (EPS) เพิ่มขึ้นจาก 1.33 บาทต่อหุ้น เป็น 1.34 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่
ด้านนางสาวดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SABINA กล่าวถึงความคืบหน้าในการขยายธุรกิจในต่างประเทศว่า หลังจาก SABINA ได้เข้าลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ด้วยการถือหุ้นใน Moda ฟิลิปปินส์ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2566 ซึ่งมีแนวโน้มที่ดีมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 ที่ผ่านมา ยอดขายในฟิลิปปินส์ได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างของห้างสรรพสินค้าภายในประเทศ ทำให้ยอดขายในสโตร์ขนาดใหญ่ของ SABINA ลดลง โดยบริษัทฯ ได้วางแผนรับมือและรุกปรับรูปแบบการขายด้วยการทำตลาดออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนช่องทางขายออนไลน์ในฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้นจาก 8% ในปี 2566 เป็น 13% ในปี 2567 และคาดว่า จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังวางแผนเพิ่มหน้าร้านในช่องทางออฟไลน์เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ซึ่งมีจำนวน 49 สโตร์ และปัจจุบันอยู่ที่ 51 สโตร์ โดยเป้าหมายจะเพิ่มเป็นไม่น้อยกว่า 70 สโตร์ในปีนี้
โดยตลาดในฟิลิปปินส์ยังมีพื้นที่ที่เราเติบโต ด้วยจำนวนประชากร ด้วยโครงสร้างประชากรที่อยู่ในวัยที่จะเป็นลูกค้าเราในอนาคต แต่เราวางแผนการเติบโตอย่างระมัดระวัง ไม่รีบขยาย เพราะด้วยภูมิศาสตร์ของฟิลิปปินส์ไม่เหมือนกับประเทศไทย การบริหารจัดการอาจจะยากกว่า แต่ก็มีความท้าทายด้านการเติบโตมาก ซึ่งหากว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ไม่มีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้เข้ามากระทบ ก็มั่นใจว่า ปี 2568 จะเป็นปีที่เรารับรู้การเติบโตจากยอดขายในฟิลิปปินส์ได้อย่างน่าพอใจ
สำหรับการทำตลาดในประเทศไทย ซึ่งช่องทางขายหลักยังเป็นช่องทางค้าปลีก (Retail) ซึ่งมีสัดส่วน 61% ของช่องทางขายรวม และสามารถสร้างยอดขายในปี 2567 ที่ได้ 2,187 ล้านบาทนั้น ในปี 2568 บริษัทฯ วางแผนที่จะเปิดช็อปเพิ่มอย่างน้อย 7 แห่ง จาก 89 แห่งเป็น 96 แห่ง ซึ่งจะทำให้ยอดร้านค้าในช่องทางค้าปลีกเพิ่มขึ้นจาก 516 สโตร์เป็น 523 สโตร์ โดยการขยายหน้าร้านจะพิจารณาจากพื้นที่ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ส่วนช่องทางไม่มีหน้าร้าน (NSR : Non-Store Retailing) ซึ่งมีสัดส่วน 33% ของช่องทางขายรวม ในปีที่ผ่านมาสามารถสร้างการเติบโตได้ 17.80% ด้วยยอดขาย 1,184 ล้านบาท และคาดว่ายังคงเติบโตได้ต่อเนื่องในปีนี้
ขณะที่ช่องทางรับจ้างผลิต (OEM) ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 6% นั้น แม้ว่าภาพรวมในปี 2567 รายได้จากช่องทางนี้จะลดง 21.6% แต่ในไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว ช่องทาง OEM สามารถพลิกกลับมาเติบโตได้ 67% ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี โดยในปีนี้ SABINA ตั้งเป้าการเติบโตของช่องทาง OEM ไว้ที่ 10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สอดรับกับเป้าหมายที่จะสร้างการเติบโตในทุกช่องทางขายในปีนี้