นักวิชาการ ชี้ “บอร์ด กคพ.” รับปม “ฮั้วเลือก สว.67” เป็นคดีพิเศษ ไม่ทำรัฐบาลแพแตก

“สติธร-ยุทธพร” นักวิชาการการเมือง มอง “บอร์ดกคพ.” รับปม “ฮั้วเลือก สว. 67” เป็นคดีพิเศษ ในข้อหาฟอกเงิน ไม่ทำให้รัฐบาลแตกหัก แนะจับตาอภิปรายไม่ไว้วางใจปลายเดือนนี้


วันนี้ (6 มี.ค. 2568) ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ให้สัมภาษณ์กับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ถึงกรณีที่คณะกรรมการคดีพิเศษ (บอร์ด กคพ.) มีมติเสียงข้างมาก รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการฮั้วเลือก ส.ว. ปี 2567 เป็นคดีพิเศษ ในข้อหาฟอกเงิน

ดร.สติธร มองถึงผลกระทบต่อเสถียรภาพของพรรคร่วมรัฐบาลว่า “ไม่แตกหัก” เพราะหากพรรคร่วมรัฐบาลมีความขัดแย้งรุนแรงจริง บอร์ด กคพ. ก็คงจะต้องเดินหน้าเต็มที่และผลักดันให้ได้เสียงข้างมาก 2 ใน 3 (15 จาก 22 เสียง) แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น ซึ่งในทางข้อเท็จจริงทุกแนวทางเป็นไปได้หมด หากบอร์ด กคพ. ต้องการดำเนินคดีแบบครบวงจร ก็ต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหามากมาย ทั้งข้อท้วงติงเรื่องอำนาจหน้าที่ และการที่ตัวแทน กกต. ไม่เข้าร่วมประชุม

ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ระบุว่า หากวันนี้บอร์ด กคพ. เดินหน้าทันที โดยอ้างอำนาจของตนเอง ก็อาจเกิดข้อกังขาว่าเป็นอำนาจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ (DSI) หรือไม่ และอาจนำไปสู่การยื่นตีความโดยศาลรัฐธรรมนูญเรื่องอำนาจของ 2 องค์กร ระหว่างดีเอสไอ กับ กกต.

ส่วนทางเลือกถอยสุด อย่างการเลื่อนประชุมออกไปอีกครั้งก็เป็นไปได้ยาก จึงต้องหยิบประเด็นที่เป็นอำนาจโดยตรงขึ้นมาพิจารณา ได้แก่ อั้งยี่ ซ่องโจร ซึ่งเป็นข้อหาที่มีความซับซ้อนกว่า และอาจต้องพิจารณาแยกแยะระหว่างอำนาจของ ดีเอสไอ กับ กกต.

ขณะที่ “ฟอกเงิน” เป็นข้อหาที่ชัดเจนกว่า อย่างไรก็ตามตามกฎหมาย กกต. เองก็สามารถดำเนินการเรื่องฟอกเงินได้ โดยสามารถส่งต่อให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) โดยไม่จำเป็นต้องให้ดีเอสไอรับผิดชอบ ดังนั้นการที่บอร์ด กคพ. รับคดีเฉพาะในข้อหาฟอกเงิน จึงถูกมองว่าเป็นทางสายกลางที่ช่วยลดแรงเสียดทานทางการเมือง

“ปรองดองสมานฉันท์ จากที่แต่เดิมตั้งท่าจะเอากันให้ถึงที่สุด วันนี้กลับคล้ายกับเป็นการยอมรับกลาย ๆ ว่า เรื่องโพยต่าง ๆ เป็นอำนาจของ กกต.” ดร.สติธร กล่าวพร้อมย้ำว่า การรับคดีฟอกเงินครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามประนีประนอมในทางการเมือง

ส่วนที่ผลของบอร์ด กคพ. ออกมาเช่นนี้เกี่ยวกับการพบกันของ “4 ผู้มีอิทธิพลการเมือง” ที่บ้านจันทร์ส่องหล้าหรือไม่ ดร.สติธร กล่าวว่า ก็คงมีความเกี่ยวพันกัน

รองศาสตราจารย์ ดร.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ให้ความเห็นกับทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจ” กรณีเดียวกันนี้ว่า ไม่น่าจะนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นภายในพรรคร่วมรัฐบาลมีหลากหลายประเด็น ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่อง สว. เท่านั้น

“ความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลมีหลายประเด็น ทั้งในเรื่องนโยบาย จุดยืนทางการเมือง และอื่น ๆ คดีนี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายปัจจัยเท่านั้น” รศ.ดร.ยุทธพร กล่าว

อ.ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช ยังประเมินว่า การเมืองไทยเวลานี้ยังไม่ถึงขั้นแตกหักหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และหากมีการตกลงเรื่องผลประโยชน์กันได้ก็ไม่มีพรรคใดที่จะปล่อยมือจากการร่วมรัฐบาล

“ในขณะนี้ไม่มีพรรคใดพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง ทั้งในเรื่องทุนทางการเมืองและเครือข่ายทางการเมือง” รศ.ดร.ยุทธพร ระบุ

สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะมีขึ้นในปลายเดือนมี.ค.นี้ รศ.ดร.ยุทธพร คาดว่า จะผ่านไปได้ด้วยดี แต่ต้องจับตาดูว่าจะมีคะแนนเสียงที่หายไปอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่

“ถ้าหายไปไม่เกิน 10-20 เสียง ก็คงไม่มีอะไรที่เป็นนัยสำคัญ แต่ถ้าเกินกว่านั้น ก็จะสะท้อนสัญญาณความขัดแย้งภายในพรรคร่วมแล้ว”

เมื่อถามถึงมุมมองต่อการที่ DSI รับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษว่าเป็นไปตามหน้าที่หรือมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง รศ.ดร.ยุทธพร ชี้ว่า “มีทั้งสองส่วน” โดยในแง่ของการเมืองอาจมองว่า มีการเชื่อมโยงทางการเมือง แต่ในอีกมุมหนึ่ง DSI เป็นข้าราชการประจำที่อาจกังวลเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง หรือการละเลยหน้าที่ตามมาตรา 157 หากมีผู้ร้องเรียนแล้วไม่ดำเนินการ

Back to top button