
EKH ตั้งเป้ารายได้ปี 68 โต 10% ลุยขยายฐานลูกค้า IVF-ออกสินค้าใหม่
EKH เดินหน้าขยายธุรกิจปี 68 เปิดศูนย์หัวใจ พร้อมเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ วิตามินซี เจลลี่ 3 โปรดักส์ และขยายฐานลูกค้า IVF อีก 450 เคส หนุนรายได้โต 7-10%
นายสุทธิพงศ์ ตั้งสัจจะพจน์ กรรมการและผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน) หรือ EKH เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 ว่าผลการดำเนินงานปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 280.06 ลดลง 5.79% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 297.26 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้จากการขายรวม อยู่ที่ 27,448.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 25,045.17 ล้านบาท
โดยเป็นผลมาจาก ต้นทุนกิจการโรงพยาบาล อยู่ที่ 718.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 669.22 ล้านบาท หรือ 7.40% ซึ่งสอดคล้องกับรายได้จากกิจการโรงพยาบาลที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
อีกทั้งบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร อยู่ที่ 281.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 223.90 ล้านบาท หรือ 25.58% โดยบริษัทบันทึกรายการขาดทุนจากตราสารทุนที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน ซึ่งบริษัทฯ ได้ลงทุนใน บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ ในรูปของ ค่าใช้จ่ายในการบริหาร อยู่ที่ 33.00 ล้านบาท ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้รวม สำหรับปี 2567 มีอัตรา 21.15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีอัตรา 17.80%
อย่างไรก็ตาม แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2568 บริษัทฯ เตรียมเปิดโครงการต่างๆ ที่ดำเนินอยู่ ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด (Cardiac Center) ซึ่งเป็นโครงการใหม่ที่มุ่งเน้นการให้บริการทางการแพทย์ด้านโรคหัวใจอย่างครบวงจร โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ บริการผ่าตัดหัวใจแบบเปิด (Open Heart Surgery), การตรวจวินิจฉัยและรักษาด้วยการฉีดสีสวนหัวใจ การขยายหลอดเลือด รวมถึง การให้คำปรึกษาโดยทีมแพทย์และพยาบาลตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งตั้งเป้าที่จะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 2/2568 และคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้เต็มปีเกือบ 100 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากยังไม่สามารถรับรู้รายได้เต็มปี รายได้ที่คาดการณ์ไว้อาจอยู่ที่ประมาณ 50-60 ล้านบาท สุรวมถึงบริษัทมีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 3 รายการ ซึ่งเป็นสินค้า กลุ่มมินซี เจลลี่ สำหรับแม่และเด็ก ขณะที่ เป้าหมายการเติบโตปี 2568 คาดการณ์รายได้เติบโต 7-10%
ขณะที่ โรงพยาบาลคูน วัฒนแพทย์ อ่าวนาง จังหวัดกระบี่ มีกำหนดเปิดให้บริการในช่วงปลายไตรมาส 1/2569 โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 200 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีแผนเปิด โครงการอาคาร C โรงพยาบาลเอกชัย ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าการเติบโตอาจมีข้อจำกัด เนื่องจากโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการยังไม่ได้เปิดดำเนินงานอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ คาดว่าจะเห็นแนวโน้มที่ชัดเจนมากขึ้นในปี 2569-2570
ขณะที่ในปีนี้ บริษัทมองว่าจำนวนลูกค้ายังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้บริการผู้ป่วยใน (IPD – Inpatient Department) นอกจากนี้ บริษัทได้เพิ่มศักยภาพในการตรวจผู้ป่วยนอก (OPD – Outpatient Department) ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มบุคลากรทางการแพทย์หรือพัฒนาศักยภาพในการให้บริการ
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีโรคต่างๆ เกิดขึ้นมากขึ้น เช่น RSV และ Influenza A ซึ่งมีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ขณะที่ในส่วนของ IPD ปีนี้ยังคงเป็นอีกปีที่บริษัทจะต้องบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพสูงสุด อย่างไรก็ตาม คาดว่าหลังจากผ่านปีนี้ไป ต้นปี 2569 ปัญหาต่างๆ จะคลี่คลายลง และการดำเนินงานจะเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น
สำหรับแผนการร่วมลงทุนในธุรกิจ M&A ในปี 2568 บริษัทมีการพูดคุยอย่างต่อเนื่องในหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมสุขภาพ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา ยังไม่มีข้อตกลงใดที่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน
ส่วนของธุรกิจ IVF (In Vitro Fertilization) หรือการทำเด็กหลอดแก้ว ในปีที่ผ่านมา บริษัทให้บริการแก่ลูกค้าจำนวน 400 เคส แบ่งเป็นลูกค้าจีนประมาณ 80%, ลูกค้าชาวไทย 15% และที่เหลือ 5% คือชาติอื่นๆซึ่งส่วนใหญ่มาจาก ฮ่องกง และ เวียดนาม สำหรับปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการ IVF เป็น 450 เคส เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นและขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ หากถามถึงบริการ เก็บสเต็มเซลล์ บริษัทได้เปิดให้บริการในด้านนี้มาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว
“สำหรับการเปิดอาคารใหม่ อย่าง อาคารซี โรงพยาบาลเอกชัยเพื่อรองรับผู้ป่วย บริษัทไม่ได้กังวลผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับรายได้หรือกำไร มากนัก เพราะมองว่าเป็นการขยายพื้นที่มากกว่า บริษัทคิดว่าจะเปิดอาคารซีในปีหน้าช่วงหลังสงกรานต์ ซึ่งจะเข้าสู่ช่วงฤดูฝนพอดี และเริ่มเข้าสู่ High Season ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป หากปีนี้มีจำนวนผู้ป่วยเด็กมากเหมือนปีที่แล้ว ก็อาจทำให้ห้องไม่พอ ซึ่งถือเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ที่ดี”
สุดท้ายนี้ หากช่วงเวลาการเปิดอาคารซี ตรงกับความต้องการของผู้ป่วย ก็ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อรายได้และกำไร โดยคาดว่าจะสามารถครอบคลุมค่าเสื่อมราคา (Depreciation) และค่าใช้จ่ายของบุคลากรที่เข้ามาใหม่ได้ ขณะที่การดำเนินงานในกรุงเทพฯ จะเริ่มค่อยๆ ดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 หลังจากเปิดบริการ โดยคาดว่าในที่สุดผลลัพธ์จะเป็นบวก