“ไชน่า เฉิงซิน” หั่นความน่าเชื่อถือไทยเป็น BBB+ ชี้ “อาชญากรรมข้ามชาติ” ทำเสียภาพลักษณ์

“ไชน่า เฉิงซิน” บริษัทเครดิตจีน ปรับลดความน่าเชื่อถือไทย จาก A- เป็น BBB+ ยกเหตุผล “อาชญากรรมข้ามชาติ-ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ-ผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์”


เว็บไซต์ เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ สื่อฮ่องกง รายงานว่า “ไชน่า เฉิงซิน อินเตอร์เนชันแนล เครดิต เรตติ้ง” (China Chengxin International Credit Rating) บริษัทจัดอันดับเครดิตของจีน ประกาศในวันที่ 6 มี.ค.68 ว่า ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย จาก A- เป็น BBB+ เนื่องจากปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่เกิดขึ้นหลายครั้ง

การปรับลดครั้งนี้ ทำให้ “ความเสี่ยงด้านเครดิตของประเทศไทย” ถูกจัดอยู่ในระดับ “ปกติ” แทนที่จะเป็น “เสี่ยงต่ำ” ขณะที่สถานะทางเศรษฐกิจและการเงิน ได้รับการประเมินอยู่ในระดับ “พอใช้” แทนที่ “แข็งแกร่ง”

บริษัทดังกล่าวให้เหตุผลว่า ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ได้เปิดโปงให้เห็นถึงข้อบกพร่องในระยะยาวของรัฐบาลไทยในการจัดการกับปัญหาอาชญากรรม และหากวิกฤตด้านความปลอดภัยยังคงดำเนินต่อไปอาจส่งผลเสียต่อแนวโน้มของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ

ที่ผ่านมาจีนเป็นตลาดนักท่องเที่ยวรายใหญ่ที่สุดของไทย ปีที่แล้วมีชาวจีนเดินทางมาเยือนมาถึง 6.7 ล้านคน แต่หลังเกิดเหตุการณ์ลักพาตัว “หวัง ซิง” นักแสดงชายชาวจีน โดยขบวนการค้ามนุษย์ที่มีเครือข่ายอยู่ในประเทศไทย เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาชาวจีนเสียหายหนัก

ทันทีที่ข่าวดังกล่าวถูกเผยแพร่บนโซเชียลมีเดียก่อนถึงเทศกาลตรุษจีน ข้อมูลจาก ไชน่า เทรดดิ้ง เดสก์ (China Trading Desk) บริษัทด้านการตลาดการท่องเที่ยวและเทคโนโลยี ระบุว่า ยอดจองวันหยุดในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวชาวจีน ช่วงวันที่ 13-20 ม.ค.68 ลดลงถึง 15.6% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า และยังสร้างความกังวลสำหรับนักลงทุนชาวจีนบางรายที่กำลังพิจารณาขยายธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นอกจากนี้ “ไชน่า เฉิงซิน” ให้เหตุผลที่ปรับลดเครดิตประเทศไทยอีกว่า ยังมีสาเหตุหลักมาจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 ควบคู่กับแรงกดดันเชิงโครงสร้างที่ผู้ส่งออกและภาคการผลิตของประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่

ขณะที่มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม นักวิเคราะห์เชื่อว่า สหรัฐฯ อาจเก็บภาษีประเทศที่เกินดุลการค้า ซึ่งปีที่แล้ว ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐฯ อยู่ 45,600 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.5 ล้านล้านบาท

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index) ของไทย ในปี 2567 ซึ่งเป็นมาตรวัดผลผลิตทางอุตสาหกรรม หดตัวลง 1.79% ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการลดลงในภาคยานยนต์

“ไชน่า เฉิงซิน” บอกด้วยว่า เมื่อมองไปในปี 2568 นี้ เนื่องจากสหรัฐฯ วางแผนที่จะกำหนดภาษีในอัตราที่สูง กับการส่งออกของไทย หากมีการบังคับใช้จริงและมีแนวโน้มในระยะยาว อาจสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อการส่งออกของไทย และขัดขวางการไหลเข้าของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลไทยที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมายังขัดขวางความต่อเนื่องของนโยบายด้วย

อย่างไรก็ดี นายซง เสงวุน ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของบริษัททางการเงินในสิงคโปร์ ระบุว่า การปรับอันดับดังกล่าวของบริษัทไชน่า เฉิงซินฯ บ่งชี้ว่า ประเทศไทยยังคงมีเสถียรภาพและมีแนวโน้มอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ

Back to top button