5 นายกฯ ถูกซักฟอกเดี่ยว ความเหมือนที่แตกต่าง บทเรียนการเมืองไทย

ตลอดหลายทศวรรษของการเมืองไทย มีเพียง 5 นายกรัฐมนตรีที่ต้องเผชิญศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบ “เดี่ยว” ศึกที่ไม่เพียงทดสอบเสถียรภาพรัฐบาล แต่ยังสะท้อนถึงความรับผิดชอบทางการเมืองของผู้นำแต่ละยุค แม้สถานการณ์จะคล้ายกัน แต่บทสรุปของแต่ละคนกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง


สปอตไลท์ทางการเมืองในห้วงเวลานี้ต่างส่องไปยังเวที “อภิปรายไม่ไว้วางใจ” รัฐบาลนางสาวแพทองธาร  ชินวัตร ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 มีนาคม 2568

เหตุผลที่ทำให้ศึกซักฟอกรัฐบาลรอบนี้ถูกจับจ้องจากคอการเมืองนั้นเป็นเพราะเวทีนี้ถือเป็นเวทีแรกของ “นายกฯ แพทองธาร” และเป็นครั้งแรกในการอภิปรายของรัฐบาลชุดนี้ที่ฝ่ายค้านเลือกพุ่งเป้าไปที่ “นายกฯ แพทองธาร” พร้อมกับข้อกล่าวหาว่าเป็น “นายกฯ หุ่นเชิด” ของบิดานายทักษิณ ชินวัตร

เรียกว่างานนี้พรรคประชาชนเอาเรื่องใกล้ตัวของ “นายกฯ แพทองธาร” มากที่สุด มาเป็นประเด็นหัวข้อในการอภิปรายแทนการอภิปรายรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่า กลยุทธ์ที่พรรคประชาชนใช้นั้น พยายามที่ใช้ “นายกฯ แพทองธาร” เป็นหมัดน็อตในการอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบลงมติ ในช่วงที่มีข่าวความไม่ลงรอยกันของพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันออกมาให้เห็นเป็นระยะ จึงเลือกพุ่งไปที่เป้าหมายเดี่ยวในการอภิปราย และการชี้แจงจากฟากฝั่งรัฐบาล

สิ่งที่เห็นไม่บ่อยนักสำหรับศึกซักฟอกนั้นคือ การเลือกเป้าหมายการอภิปรายไปดูที่นายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว เพราะโอกาสที่ฝ่ายค้านจะล้มรัฐบาลแทบเป็นไปได้อยาก เว้นแต่จะมีหลักฐานเด็ด หรือมีเงื่อนไขการเมืองบางอย่างที่ทำให้ผู้นำประเทศไม่สามารถนั่งเก้าอี้ฝ่ายบริหารได้อีกต่อไป

ซึ่งที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์การเมืองมีนายกรัฐมนตรีเพียง 4 คนเท่านั้น ที่เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบ “เดี่ยว”

4 นายกฯ กับ “อภิปรายไม่ไว้วางใจเดี่ยว”

ย้อนกลับเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2523 พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรี คนที่ 15 ที่มาจากกองทัพ ถือเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่ถูกฝ่ายค้านในขณะนั้น ซึ่งนำโดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเพียงคนเดียว โดยกล่าวหาว่า “บริหารประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย” พรรคฝ่ายค้านได้รวมตัวกันเหนียวแน่น ทั้งพรรคกิจสังคม พรรคชาติไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคประชากรไทย และพรรคสยามประชาธิปไตย แรงกดดันสูงขนาดที่พรรคร่วมรัฐบาลเริ่มตีตัวออกห่าง ทำให้ พล.อ.เกรียงศักดิ์ เห็นว่าตัวเองอาจไม่ได้รับเสียงสนับสนุนที่เพียงพอ จึงเลือกลาออกก่อนถูกลงมติ และเปิดทางให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

คนต่อมาคือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี คนที่ 16 โดยในวันที่ 29 พฤษภาคม 2528 ฝ่ายค้านพยายามยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.เปรม แต่สุดท้ายถูกตีตกไป เนื่องจากไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แม้ฝ่ายค้านจะเตรียมเล่นงานนายกฯ เพียงคนเดียว แต่กลับมีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้น คือ สส. ที่ลงชื่อสนับสนุนญัตติทยอยถอนตัวออกและบางคนถึงกับหายตัวไปจากสภาฯ ทำให้การอภิปรายถูกระงับไป

นับจากนั้นอีก 11 ปีในวันที่ 18-21 กันยายน 2539 นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี คนที่ 21 ถูกฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเพียงคนเดียว แต่ครั้งนี้เรียกว่าเป็นการอภิปรายเดี่ยวที่ร้อนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เกิดขึ้น ฝ่ายค้านโจมตีหนักในประเด็นส่วนตัวและครอบครัว จนทำให้พรรคร่วมรัฐบาลเริ่มตีตัวออกห่าง กดดันให้นายบรรหารลาออกภายใน 3 วัน แต่แทนที่จะยอมลาออก นายบรรหารเลือกแก้เกมด้วยการประกาศ “ยุบสภา” และจัดการเลือกตั้งใหม่ ทำให้การอภิปรายจบลงทันที แต่ผลลัพธ์คือพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของนายชวน หลีกภัย ได้ขึ้นเป็นรัฐบาลแทน

แต่แล้วในปีต่อมา พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี คนที่ 22 ซึ่งบริหารประเทศเพียงปีเดียว ก็ถูกพรรคฝ่ายค้านยื่นอภิปรายในวันที่ 25-27 กันยายน 2540 ขณะนั้น พล.อ.ชวลิต ต้องเผชิญศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ขณะประเทศกำลังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ฝ่ายค้านกล่าวหาว่าบริหารประเทศผิดพลาด จนไทยต้องกู้เงินจาก IMF แม้ครั้งนั้น พล.อ.ชวลิต จะรอดจากการลงมติไม่ไว้วางใจในสภาฯ แต่สุดท้ายแรงกดดันจากภาคธุรกิจและประชาชนในสังคม ทำให้ต้องตัดสินใจลาออกเพียง 1 เดือน หลังการอภิปราย

“แพทองธาร” กับเส้นทางอภิปรายเดี่ยว ครั้งที่ 5 ในประวัติการเมืองไทย

แฟ้มภาพ

เวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะเปิดม่านในวันที่ 24 มีนาคมนี้ ถือเป็นเวทีประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทยอีกหน้าหนึ่ง เพราะด้านหนึ่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ มีการประเมินว่าอาจเป็นจุดเปลี่ยนของรัฐบาลตามที่ผู้นำฝ่ายค้านฯ เคยบอกว่า การอภิปรายครั้งนี้คือบททดสอบว่า น.ส.แพทองธาร ควบคุมพรรคร่วมรัฐบาลได้หรือไม่ ถ้าคะแนนเสียงขาดไปเพียง 1 เสียง ก็เป็นสัญญาณว่านายกฯ ไม่สามารถรักษาเสถียรภาพรัฐบาลได้

แต่ในอีกมุมหนึ่งเหล่าบรรดากูรูการเมืองเชื่อว่า เวทีซักฟอกรัฐบาลรอบนี้ไม่ใช่ฉากสุดท้ายของ “นายกฯ แพทองธาร” เพราะทุกฝ่ายยังไม่พร้อมลงสนามการเลือกตั้งในเวลานี้ ทั้งในเรื่องของกระสุนและกระแสที่พรรคร่วมรัฐบาลยังมีสรรพกำลังไม่เต็มที่ เพราะท้ายที่สุดแล้วเกมนี้ หากยังดึงดันที่จะทะเลาะกันต่อไป คนที่กำชัยชนะในเกมการเมืองเวลานี้อาจกลายเป็น “ตาอยู่” ก็เป็นได้

Back to top button