
ลุ้น SET ฟื้นระยะสั้น! เจาะ 4 กลุ่มเด่น รีบซื้อก่อน “รีบาวด์”
โบรกฯ ชี้ตลาดหุ้นไทยมีสัญญาณบวก แนะกลยุทธ์ “Selective Buy” โฟกัสหุ้นกำไรโต กลุ่ม Undervalued, ปันผลสูง และ Earnings Play รับแนวโน้มฟื้นตัว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (10 มี.ค.68) ตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญกับความผันผวนต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยปัจจัยกดดันหลักมาจากเซนติเมนต์จากตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังสหรัฐฯ เปิดตัวเลขเศรษฐกิจอ่อนแอกว่าคาดการณ์ รวมทั้งเงินเฟ้อจีนติดลบครั้งแรกในรอบ 13 เดือน ส่วนปัจจัยในประเทศคือแรงขายของหุ้น บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA กดดัน
อย่างไรก็ดี บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด หรือ INVX ได้มีการวิเคราะห์แนวโน้มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในระยะสั้น โดยประเมินว่าตลาดมีสัญญาณฟื้นตัวบางส่วน อันเนื่องมาจากปัจจัยสนับสนุนจากต่างประเทศเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการคาดการณ์ว่าสหรัฐฯ อาจเลื่อนการจัดเก็บภาษีนำเข้าบางรายการจากเม็กซิโกและแคนาดา ขณะที่นักลงทุนยังคงเฝ้ารอทิศทางมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากจีน ภายหลังการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน
นอกจากนี้ แนวโน้มเงินเฟ้อของจีนและสหรัฐฯ ยังคงมีเสถียรภาพ เนื่องจากอุปสงค์ที่ชะลอตัวและราคาพลังงานที่ปรับลดลง ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังคงนโยบายการเงินในทิศทางปัจจุบัน ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศยังต้องติดตามเสถียรภาพทางการเมือง การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม รวมถึงการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในเดือนเมษายน ทั้งนี้เงื่อนไขของการโอนย้ายเม็ดเงินกองทุน LTF เป็น ThaiESGX อาจช่วยลดแรงขายในตลาด
ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าว ฝ่ายวิจัยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนแบบ “Selective Buy” โดยเน้นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวใน 3 กลุ่มหลัก และ 1 กลุ่มสำหรับการเทรดระยะสั้น ดังนี้
1.หุ้นกลุ่ม Undervalued สำหรับการลงทุนระยะยาว โดยหุ้นในกลุ่มนี้เน้นไปที่หุ้นที่อยู่ในดัชนี SET100 และมีศักยภาพเป็นเป้าหมายการลงทุนของกองทุน โดยต้องมีคุณสมบัติเช่น คาดการณ์กำไรปี 2568 เติบโตเมื่อเทียบปีต่อปี (YoY) ฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยสูง (Interest Coverage Ratio > 1) มูลค่าหุ้นอยู่ในระดับต่ำ (PER และ PBV 2568F ต่ำกว่า -1SD) ศักยภาพจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ คาดการณ์ Dividend Yield อย่างน้อย 2% และได้รับ SETESG Rating ระดับ A-AAA
โดยหุ้นที่แนะนำ ได้แก่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS, บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT, บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG
2.หุ้นปันผลคุณภาพดี ซึ่งกลุ่มนี้เป็นหุ้นที่มีประวัติการจ่ายปันผลต่อเนื่องอย่างน้อย 20 ปี และได้รับ SETESG Rating ระดับ A-AAA อีกทั้งคาดการณ์ Dividend Yield จากกำไรปี 2567 หลังจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแล้ว ยังอยู่ในระดับเกิน 4% และอัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือทรงตัว นอกจากนี้ ผลประกอบการปี 2568 ยังคงแข็งแกร่ง และมี Upside เกิน 15%
โดยหุ้นที่แนะนำ ได้แก่ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI และ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK
3.หุ้นกลุ่ม Earnings Play โดยหุ้นในกลุ่มนี้ยังไม่ได้สะท้อนผลประกอบการไตรมาส 1/2568 ที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตทั้งเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) และไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) อีกทั้งยังมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเข้าซื้อหุ้นก่อนที่ราคาจะสะท้อนผลกำไรที่เพิ่มขึ้น
สำหรับหุ้นที่แนะนำได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE, บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA, บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR, MTC, บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU และ บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) หรือ HTC
4.Trading Idea สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ ซึ่งหากนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรระยะสั้น แนะนำให้จับตาหุ้นที่คาดการณ์ว่าจะได้รับ Sentiment บวกจากงาน Opportunity Day ในสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจมีแนวโน้มเชิงบวกจากการนำเสนอข้อมูลของบริษัทที่เกี่ยวข้อง พร้อมแนะนำหุ้น AU, TIDLOR, BTG, และ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG
อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากทั้งในและต่างประเทศ นักลงทุนควรพิจารณาการลงทุนอย่างระมัดระวัง โดยเน้นการเลือกซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและปัจจัยบวกเฉพาะตัว เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในปี 2568