SIRI ปักธงยอด “พรีเซล” Q1 ตามเป้า! แผนเปิดโครงการใหม่ “กลุ่มคอนโดฯ”

SIRI ลุ้นยอดพรีเซลใน Q1/68 ตามเป้า พร้อมเปิดโครงการไฮไลท์ PTY Residence Sai 1 มูลค่า 2.9 พันล้านบาท สำหรับชาวต่างชาติ และ The Base เชิงทะเล ภูเก็ต มูลค่า 1.4 พันล้านบาท ที่มีอัตราการซื้อแล้ว 70% คาดเสริมการเติบโตระยะยาว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันนี้ (11 มี.ค. 68) จากข้อมูลของ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI มีโอกาสที่จะสามารถทำยอดพรีเซล (Presale) ได้ตามเป้าหมาย หรือมากกว่านั้นในไตรมาส 1/2568 โดยเป้าหมายการโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 1/2568 ค่อนข้างต่ำกว่าปกติ เนื่องจากการโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 4/2567 ค่อนข้างมาก

ทั้งนี้ แนวโน้มกำไรปกติในไตรมาส 1/2568 คาดว่าจะลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (q-q) แต่กำไรพิเศษที่อาจเกิดขึ้นจากการขายที่ดินเข้าสู่กิจการร่วมค้า (JV) น่าจะช่วยสนับสนุนให้กำไรสุทธิในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ราว 800-900 ล้านบาท

สำหรับโครงการไฮไลท์ที่เปิดในไตรมาส 1/2568 ได้แก่ 1.คอนโดมิเนียมโครงการ PTY Residence Sai 1 มูลค่าโครงการ 2.9 พันล้านบาท ซึ่งมีโอกาสจะขายหมดในช่วงเปิดขายอย่างเป็นทางการในปลายเดือนมีนาคม 2568 โดยในขณะนี้เปิดขายเฉพาะส่วนของชาวต่างชาติ ซึ่งขายหมดในส่วนของโควตาต่างชาติแล้ว

2.คอนโดมิเนียมโครงการ The Base เชิงทะเล ภูเก็ต มูลค่าโครงการ 1.4 พันล้านบาท ซึ่งมีอัตราการซื้อแล้ว (Take-up rate) 70%

ส่วนกลยุทธ์ทางธุรกิจในปี 2568 โดยบริษัทฯเน้นเปิดโครงการในกลุ่มตลาดหรู (Luxury segment) ซึ่งคาดว่าจะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 56% ของโครงการที่เปิดในปี 2568 โดยกลุ่มนี้บริษัทแสนสิริมีความเชี่ยวชาญ และตัวเลขยอดขายและยอดโอนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเติบโตได้ดี

ขณะที่การเปิดโครงการใหม่จะมีการกระจายการเปิดโครงการในครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลังของปี 2568 อย่างสมดุล ทำให้มีโอกาสในการขายและการโอนที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ

นอกจากนั้น บริษัทฯมีการขยายพอร์ตโฟลิโอในต่างจังหวัด โดยเน้นที่ภูเก็ตและพัทยา ซึ่งมีทั้งตลาดในประเทศและต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง

รวมถึงเปิดโครงการคอนโดมิเนียมในเมืองมากขึ้น เนื่องจากบริษัทมีคอนโดมิเนียมพร้อมขายอยู่ประมาณ 25,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับการขายได้ประมาณ 1 ปีเศษ โดยคาดการณ์ว่าอุปทานคอนโดมิเนียมใหม่ในปี 2568 จะยังคงมีจำนวนไม่มาก ซึ่งจะทำให้บริษัทได้เปรียบในด้านการขาย

อย่างไรก็ตามยอดค้างโอน (Backlog) ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ 1.81 หมื่นล้านบาท (รวมกิจการร่วมค้า) โดยประมาณ 10.2 พันล้านบาทจะมีแผนโอนในปี 2568 ทำให้สามารถทำเป้าหมายการโอนในปี 2568 ได้ 24%

ปัจจุบันบริษัทแสนสิริมีสต็อกที่เสร็จแล้วประมาณ 1.47 หมื่นล้านบาท ซึ่งเทียบกับยอดขายและยอดโอนเฉลี่ยต่อเดือนที่ประมาณ 3.4 พันล้านบาท ทำให้สามารถระบายสต็อกได้ในระยะเวลา 4-5 เดือน ซึ่งไม่ถือว่าเป็นระดับที่น่ากังวล

มีโอกาสที่จะเห็นการทำกิจการร่วมค้าในโครงการทั้งในกลุ่มบ้านจัดสรร (Low-rise) และคอนโดมิเนียมต่อเนื่อง (เป้าหมายในปี 2568 จำนวน 7 โครงการ) ซึ่งจะเปิดโอกาสให้มีการสร้างกำไรพิเศษจากการขายที่ดินเข้าสู่กิจการร่วมค้า โดยคาดว่าจะมีกำไรพิเศษในปี 2568 ไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท โดยส่วนนี้ได้รวมอยู่ในประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 แล้ว

โดยความสามารถในการกู้ยืม (Debt Capacity) คาดว่ายังคงสามารถบริหารจัดการได้ แม้จะมีการเปิดโครงการจำนวนมาก โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (IBD/E) ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567 อยู่ที่ 1.5 เท่า (ลดลงจากเดือนธันวาคม 2566 ที่ 1.7 เท่า) และคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนในปี 2568 จะลดลงมาอยู่ที่ 1.4 เท่า ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการขายโรงแรม The Standard และได้รับเงินสดคืนมาใช้ในการชำระหนี้

สำหรับต้นทุนหนี้ (Cost of Debt) คาดว่าจะทรงตัวจากปี 2567 ที่ 4.15%-4.20% ในปี 2568

เป้าหมายงบลงทุน (CAPEX) สำหรับที่ดินในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 2.0 พันล้านบาท แม้ว่าจะมีเป้าหมายงบลงทุนที่ต่ำ แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการเปิดโครงการใหม่ในปี 2568-2569 เพราะที่ดินที่ต้องการสำหรับเปิดโครงการในปี 2568 ได้รับการจัดหามาแล้ว และมีเพียงพอต่อการเปิดโครงการในปี 2569

นอกจากนี้ คาดว่าเรื่องเด่นในไตรมาส 1/2568 จะเป็นยอดพรีเซล ขณะที่กำไรสุทธิคาดว่าจะเด่นในไตรมาส 2/2568 เป็นต้นไป โดยแผนการเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 1/2568 จะมีจำนวนมากในกลุ่มคอนโดมิเนียม ซึ่งคาดว่าแนวโน้มยอดพรีเซลจะยังคงดี ขณะที่กำไรสุทธิในไตรมาส 1/2568 คาดว่าจะเป็นไตรมาสที่มีกำไรสุทธิต่ำสุดของปี แต่จะเริ่มดีขึ้นในไตรมาส 2/2568 เป็นต้นไป หลังจากโครงการไฮไลท์ในกลุ่มบ้านจัดสรรทยอยเปิดและโอนมากขึ้น

อย่างไรก็ตามฝ่ายวิเคราะห์คงประมาณการกำไรปกติในปี 2568 ที่ 5.25 พันล้านบาท (+6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา) ซึ่งมีโอกาสทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยคาดว่าการโอนจะโตได้ปีต่อปี (จากงวดเดียวของปีก่อน)

ทั้งนี้ คงราคาเป้าหมายในปี 2568 ที่ 2.34 บาท/หุ้น และยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และเป็นหุ้นเด่น (Top pick) โดยให้ความสำคัญกับครึ่งปีแรกของปี 2568 ที่คาดว่าจะเด่นกว่าบริษัทอื่น ทั้งในด้านยอดพรีเซลและการโอนกรรมสิทธิ์ ขณะที่ทิศทางธุรกิจยังคงเน้นการขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นโอกาสในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดและเป็นผลดีในระยะยาว ปัจจุบันราคาหุ้นเทรดที่อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไร (P/E) เพียง 5.7 เท่า และมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) สูงถึง 9.5% ทำให้มองว่าผลตอบแทนในอนาคตน่าสนใจ

Back to top button