
“SPCG-เซท เอนเนอยี” ฟ้องแพ่ง กฟภ.ชดใช้ 3.7 พันล้าน ปมยกเลิกดีลโซลาร์ฟาร์ม EEC
“SPCG-เซท เอนเนอยี” ยื่นฟ้องแพ่ง “กฟภ.” หลังศาลปกครองกลางยังไม่รับคำฟ้อง ปมเรียกค่าเสียหายกว่า 3.7 พันล้านบาท คดียกเลิกดีลโซลาร์ฟาร์ม EEC
บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG แจ้งข้อมูลผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า บริษัทฯ และบริษัท เซท เอนเนอยี จำกัด ได้ยื่นฟ้องการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ต่อศาลแพ่ง เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายเป็นมูลค่ารวม 3,716,125,291.08 บาท หลังจาก กฟภ. ได้ยกเลิกข้อตกลงเกี่ยวกับโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อย่างไม่เป็นธรรม
โดยการดำเนินการฟ้องร้องครั้งนี้เป็นผลมาจากการที่ศาลปกครองกลางยังไม่มีคำสั่งรับคำฟ้องของบริษัททั้งสอง และคดีใกล้หมดอายุความ ทำให้ SPCG และ เซท เอนเนอยี ต้องยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งควบคู่กันไปเพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น
สำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่าง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.), บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PEA ENCOM) ซึ่งเป็นบริษัทรัฐวิสาหกิจในเครือ กฟภ. และ SPCG ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านพลังงานแสงอาทิตย์
ตามนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) โครงการนี้ถูกวางแผนเพื่อรองรับการใช้พลังงานสะอาดในพื้นที่ EEC (ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง) โดยมีการศึกษาความเป็นไปได้ และบันทึกข้อตกลงระหว่างภาคส่วนต่างๆ
ขณะที่โครงการดังกล่าวมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 23,000 ล้านบาท โดยในระยะแรกของโครงการมีแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ไม่น้อยกว่า 500 เมกะวัตต์ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเมืองใหม่และอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC
ทั้งนี้ SPCG และ PEA ENCOM ได้ร่วมมือกันก่อตั้ง เซท เอนเนอยี ในช่วงปลายปี 2562 เพื่อดำเนินโครงการนี้โดยเฉพาะ โดยมีการลงทุนร่วมกัน ซึ่ง PEA ENCOM ได้ถือหุ้นในบริษัท เซท เอนเนอยีฯ 20% ก่อนเพิ่มเป็น 25% ในเวลาต่อมา
ต่อมาในช่วงปลายปี 2563 กฟภ. ได้มีมติอนุมัติให้ PEA ENCOM ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัท เซท เอนเนอยีฯ เพื่อเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับใช้ในพื้นที่เมืองใหม่ EEC โดยสัญญากำหนดให้ กฟภ. เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้า และ PEA ENCOM เป็นผู้ผลิตไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ กฟภ. ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ PEA ENCOM แล้ว เพียง 1 วันต่อมา PEA ENCOM ก็ได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าต่อกับ เซท เอนเนอยี โดยมีเงื่อนไขให้เซท เอนเนอยี เป็นผู้ผลิตไฟฟ้า และ PEA ENCOM เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้า ก่อนส่งต่อให้ กฟภ.
ต่อมา กฟภ. ได้ออกหนังสือเห็นชอบให้โอนสิทธิและหน้าที่ของผู้ผลิตไฟฟ้าตามสัญญาไปยัง เซท เอนเนอยีในวันที่ 19 พฤษภาคม 2566 พร้อมทั้งแจ้งความคืบหน้าให้ สกพอ. รับทราบมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม ตามสัญญาระหว่าง PEA ENCOM และ เซท เอนเนอยีกำหนดให้ เซท เอนเนอยีต้องจัดหาที่ดินเพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้า และดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2569 บริษัท เซท เอนเนอยีได้เร่งจัดซื้อที่ดินและลงทุนในโครงการนี้ไปแล้ว ทั้งในส่วนของการปรับพื้นที่ การจ้างที่ปรึกษาด้านการเงิน กฎหมาย และเทคนิค ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการขอใบอนุญาตผลิตพลังงานไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม กฟภ. ไม่ได้ดำเนินการจัดทำร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ระหว่าง กฟภ. และ เซท เอนเนอยีให้แล้วเสร็จตามกำหนด ส่งผลให้บริษัทต้องเผชิญกับความล่าช้าและความไม่แน่นอน
สุดท้าย เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 กฟภ. ได้มีหนังสือแจ้งยกเลิกความเห็นชอบในการโอนสิทธิและหน้าที่ของผู้ผลิตไฟฟ้าให้กับ เซท เอนเนอยีรวมถึงแจ้ง สกพอ. ว่าได้ยกเลิกการให้ความยินยอมเกี่ยวกับพื้นที่ติดตั้งโครงการและอัตราค่าไฟฟ้าที่เคยตกลงกันไว้
ด้านผลกระทบและมูลค่าความเสียหาย SPCG และ เซท เอนเนอยี ระบุว่า การยกเลิกข้อตกลงดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างรุนแรง เนื่องจากบริษัทฯ ได้ลงทุนไปแล้วเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในส่วนของที่ดินและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการ เนื่องจาก เซท เอนเนอยี เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อโครงการนี้โดยเฉพาะ การที่ กฟภ. ยกเลิกข้อตกลงกะทันหัน ทำให้บริษัทไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อ SPCG ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ รวมถึงผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวนมาก
ดังนั้น SPCG และเซท เอนเนอยีจึงได้ใช้สิทธิทางกฎหมาย ยื่นฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจาก กฟภ. เป็นวงเงินรวมกว่า 3.7 พันล้านบาท โดยบริษัทคาดการณ์ว่าหากศาลมีคำพิพากษาให้ชนะคดี อาจได้รับค่าชดเชยไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ SPCG ระบุว่า บริษัทฯ จะดำเนินคดีตามกระบวนการทางกฎหมายและติดตามความคืบหน้าของคดีนี้อย่างใกล้ชิด หากมีคำสั่งใดจากศาลแพ่ง บริษัทฯ จะรายงานให้ทราบต่อไป