เปิดโผ 15 หุ้นรับ Thai ESG EXTRA ลดหย่อนภาษีสูงสุด 5 แสนบาท

แนะสอย 15 หุ้นได้ประโยชน์ รับครม.เห็นชอบจัดตั้งกองทุน ThaiESG Extra ให้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาท ช่วยเสริมสภาพคล่องตลาดหุ้นไทย


ผู้สื่อข่าวรายงานกรณี คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการจัดตั้งกองทุน ThaiESG Extra ที่จะเปิดให้ซื้อหน่วยลงทุนได้ในเดือน พ.ค.-มิ.ย.68 จะเปิดรับเม็ดจาก 2 ส่วน คือ เม็ดเงินจากกองทุนระยะยาวเพื่อการลดหย่อนภาษี (LTF) ที่ครบกำหนดไถ่ถอนให้มีทางเลือกโอนเข้ามาลงทุนต่อได้ ซึ่งจะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีจากการลงทุน 500,000 บาท โดยปีแรกได้ 300,000 บาท ส่วนอีก 200,000 บาท ทยอยใช้สิทธิได้ปีละไม่เกิน 50,000 บาท 4 ปี

สอดคล้องกับ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบมาตรการพยุงตลาดหุ้นไทย โดยมีการจัดตั้งกองทุน ThaiESG Extra (Thai ESGX) ซึ่งจะเปิดให้ซื้อหน่วยลงทุนในระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน 2568 โดยจะมีการรับเม็ดเงินจาก 2 ส่วน ได้แก่

ส่วนที่ 1) สำหรับผู้ที่ถือหน่วยลงทุน LTF เดิมและยังไม่ได้ขาย หากประสงค์จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีต่อ สามารถโอนย้ายหน่วยลงทุนมาอยู่ในกองทุน Thai ESGX โดยสามารถหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 500,000 บาท โดยหักในปีแรกไม่เกิน 300,000 บาท ส่วนที่เหลือจะสามารถเฉลี่ยหักใน 4 ปี โดยต้องแจ้งย้ายกองทุนภายใน 2 เดือน และไม่เกินสิ้นเดือนมิถุนายน 2568 ทางฝ่ายวิจัยคาดว่า มาตรการนี้จะช่วยลดแรงขายของผู้ถือหน่วยลงทุน LTF ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2568 ถึงปัจจุบันมีการขายหน่วยลงทุน LTF รวม 35,000 ล้านบาท โดย NAV ของกองทุน LTF ล่าสุด ณ วันที่ 10 มีนาคม 2568 อยู่ที่ 160,000 ล้านบาท

ส่วนที่ 2) จะมีการเพิ่มโอกาสลดหย่อนภาษีพิเศษ นอกเหนือจากวงเงินเดิม โดยกำหนดระยะเวลาการซื้อหน่วยลงทุนไม่เกิน 2 เดือน (สิ้นสุดมิถุนายน 2568) และสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 300,000 บาท (KSS มองว่า การเปิดขาย Thai ESGX คล้ายกับกองทุน SSFX ในปี 2563 และประเมินว่าจะเป็นการนำเงินใหม่เข้ามาในตลาด)

สำหรับกลยุทธ์ คาดว่าเป็นปัจจัยบวกต่อ SET Index ในช่วงบ่ายนี้ และมองบวกต่อหุ้นที่มี ESG Rating สูงและหุ้น 10 Deep Value โดยทางฝ่ายวิจัยแนะนำหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO, บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS, บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC, บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP, BBL, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT

บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KS เปิดเผยว่า ครม. ได้อนุมัติมาตรการจัดตั้งกองทุน Thai ESGX ซึ่งสามารถหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 500,000 บาท โดยในปีแรกสามารถหักได้ไม่เกิน 300,000 บาท และที่เหลือสามารถเฉลี่ยหักใน 4 ปีต่อมา นอกจากนี้ยังให้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม 300,000 บาท สำหรับผู้ที่ซื้อหน่วยลงทุนใหม่ โดยการย้ายกองทุนและซื้อหน่วยลงทุนต้องดำเนินการภายใน 2 เดือน และไม่เกินเดือนมิถุนายน 2568

ฝ่ายวิจัยมองว่า มาตรการนี้จะช่วยลดแรงการไถ่ถอนจากกอง LTF ที่มีมูลค่าคงค้างกว่า 1.8 แสนล้านบาท และการเพิ่มวงเงินหักภาษีอีก 300,000 บาทต่อคน จะช่วยเพิ่มเม็ดเงินใหม่เข้ามาบางส่วน แต่จากสถิติการซื้อกองทุน LTF ในปีที่ผ่านมา มูลค่าการซื้อกองทุนสูงสุดประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท โดยมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเพียง 30% ซึ่งต้องติดตามเกณฑ์การลงทุนในกอง Thai ESGX ว่าจะกำหนดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยอย่างไร

ทั้งนี้ หุ้น ESG ที่มีปัจจัยพื้นฐานน่าสนใจ ได้แก่ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC และกลุ่มธนาคาร ขณะเดียวกัน นักลงทุนต้องระมัดระวังหุ้นที่ไม่เข้าเกณฑ์ ESG จากการถือครองกอง LTF และการซื้อหน่วยลงทุนใหม่

นอกจากนี้ จากมุมมองของบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุว่า มาตรการนี้จะช่วยลดแรงไถ่ถอน LTF ออกไปอย่างน้อย 5 ปี และการเปิดขาย Thai ESGX ใหม่ในช่วงพ.ค.-มิ.ย. 68 จะช่วยเพิ่มเม็ดเงินเข้าตลาดหุ้น โดยคาดว่าอาจมีเม็ดเงินเข้ามามากขึ้น เนื่องจากระยะเวลาการถือครองกอง Thai ESGX เพียง 5 ปี เมื่อเทียบกับ SSFX ที่ถือครอง 10 ปี

ดังนั้น ฝ่ายวิจัยแนะนำหุ้นที่น่าสนใจในกลุ่ม Thai ESGX เช่น BDMS, ADVANC, บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN, บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9, บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เนื่องจากมีสัดส่วนการถือหุ้นใน TESG สูงและแนวโน้มกำไรเติบโต

Back to top button