
กกพ. เปิดเฮียริ่ง 3 ทางเลือก “ค่าเอฟที” งวด พ.ค.-ส.ค.68 ที่ 4.15 – 5.16 บาท/หน่วย
กกพ. เปิดรับฟังความคิดเห็น “ค่าเอฟที” งวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม หลังเผชิญต้นทุนพลังงานสูงต่อเนื่อง พร้อมเสนอ 3 แนวทาง ขึ้นค่าไฟแตะ 5.16 บาทต่อหน่วย หรือคงที่ 4.15 บาท แต่ทยอยคืนหนี้ กฟผ. เริ่มตั้งแต่ 11-24 มี.ค.นี้
วันนี้ (11 มี.ค.68) นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ค่าไฟฟ้าผันแปร หรือ ค่าเอฟที (Ft) สำหรับงวดเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 ยังคงมีภาระการชดเชยต้นทุนคงค้าง (AF) ที่เกิดขึ้นจริงของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
รวมถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและการระบายน้ำของเขื่อนในประเทศได้ลดลงในฤดูแล้ง แม้จะมีแผนเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินแล้ว แต่ความต้องการใช้ไฟฟ้ายังมีแนวโน้มที่สูงขึ้นตามสภาพอากาศร้อน ทำให้ กกพ. ยังไม่สามารถประกาศปรับลดค่าเอฟทีลงได้
นายพูลพัฒน์ กล่าวอีกว่า ในการประชุม กกพ. ครั้งที่ 9/2568 เมื่อวันที่ 5 มี.ค. ที่ผ่านมา กกพ. ได้มีมติให้สำนักงาน กกพ. ดำเนินการเปิดรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟที สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในงวดเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 แบ่งเป็น 3 กรณีตามเงื่อนไข ดังนี้
- ปรับเพิ่มค่าเอฟทีเป็น 137.39 สตางค์ต่อหน่วย
- ชำระคืนต้นทุนคงค้างของ กฟผ. และมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติ
- ส่งผลให้ค่าไฟเฉลี่ยปรับขึ้นเป็น 5.16 บาทต่อหน่วย (เพิ่มขึ้น 24% จากปัจจุบัน)
- ปรับเพิ่มค่าเอฟทีเป็น 116.37 สตางค์ต่อหน่วย
- ชำระคืนต้นทุนคงค้างของ กฟผ. แต่ยังไม่รวมมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติ
- ส่งผลให้ค่าไฟเฉลี่ยปรับขึ้นเป็น 4.95 บาทต่อหน่วย (เพิ่มขึ้น 19% จากปัจจุบัน)
- ตรึงค่าเอฟทีที่ 36.72 สตางค์ต่อหน่วย
- ทยอยคืนภาระต้นทุนคงค้างของ กฟผ. ไปในอนาคต
- ค่าไฟเฉลี่ยคงอยู่ที่ 4.15 บาทต่อหน่วย เท่ากับปัจจุบัน
เลขาธิการ สำนักงาน กกพ. กล่าวว่า จากแนวโน้มค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง จากงวดก่อนหน้า 0.91 บาทต่อเหรียญสหรัฐ (งวดเดือนมกราคม – เมษายน 2568) เป็น 34.27 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ส่วนความต้องการใช้ไฟฟ้ามีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 ในขณะที่การผลิตไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศลดลง เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูแล้ง โดยการไฟฟ้าได้ลดต้นทุนโดยซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศและการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนำเข้าเพิ่มขึ้นแล้ว แต่ยังต้องจัดหานำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวแบบสัญญาตลาดจร (LNG Spot) มากกว่าช่วงต้นปี
โดยราคา LNG Spot ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามปริมาณความต้องการในตลาดโลก มาอยู่ที่ 14.0 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู แต่ปัจจัยที่ยังไม่สามารถทำให้ค่าไฟลดลงได้ยังคงมาจากภาระหนี้ค่าเชื้อเพลิงสะสมในช่วงกว่า 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแม้ว่าจะลดลงมากจากงวดก่อนหน้า แต่ภาระหนี้ที่มีอยู่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงและต้องได้รับการดูแลเพื่อรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศด้วย
จากสาเหตุหลักซึ่งเป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมทำให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าปรับตัวลดลง แต่เมื่อรวมกับการทยอยคืนหนี้ค่าเชื้อเพลิงค้างชำระในงวดก่อนหน้าที่ยังคงสูงอยู่ ส่งผลให้ค่าไฟในช่วงกลางปี 2568 นี้ อาจจะต้องปรับเพิ่มค่าค่าเอฟทีขึ้นสู่ระดับ 116.37 – 137.39 สตางค์ต่อหน่วย เพื่อคืนหนี้คงค้างให้กับ กฟผ. และ ปตท. ซึ่งทำให้เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.7833 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บในงวดเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 4.95 – 5.16 บาทต่อหน่วย หรือหากตรึงค่าเอฟที ไว้ที่ 36.72 สตางค์ต่อหน่วย โดยทยอยคืนหนี้คงค้างควบคู่ไปกับการลดผลกระทบต่อการปรับค่าไฟฟ้าอย่างก้าวกระโดดเพื่อลดภาระของประชาชน ค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่ 4.15 บาทต่อหน่วย เท่ากับปัจจุบัน
นายพูลพัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า สำนักงาน กกพ. ขอเชิญประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการปรับค่าเอฟทีผ่านทางเว็บไซต์ของสำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 11 – 24 มีนาคม 2568 ก่อนสรุปผลและประกาศอย่างเป็นทางการ