“ชัยยศ” แนะลงทุนธีม “Thai ESG Extra” ชู 2 หุ้นเด่นราคาลงลึก

“ชัยยศ จิวางกูร” แนะลงทุนหุ้นธีม ESG รับกองทุน Thai ESG Extra ชู WHA - CPALL เด่น หลังราคาปรับตัวลงลึก พร้อมมองไตรมาส 1/68 เติบโตสดใส


นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS เปิดเผยในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (12 มี.ค. 68) ว่าทิศทางของดัชนี SET Index ภายหลังการออกกองทุน Thai ESG Extra สามารถช่วยกระตุ้นการลงทุน อีกทั้ง คาดว่าจะลดความเสี่ยงด้านดาวน์ไซด์ให้น้อยลงถือเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย ซึ่งกองทุนนี้มีการเพิ่มเม็ดเงินใช้ลดหย่อนภาษีก้อนใหม่ 300,000 บาท

ขณะที่ หากนักลงทุนท่านใดมีสิทธิใช้ลดหย่อนภาษี ทั้งกองทุน LTF มูลค่า 500,000 บาท หรือ กองทุน Thai ESG Extra จำนวน 300,000 บาท และ ThaiESG จำนวน 300,000 บาท นับว่าจะคุ้นค่า เพราะสามารถช่วยลดหย่อนภาษีได้อย่างมหาศาล อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากกองทุนจะกระจุกตัวอยู่ใน SET100 และ SET50 เนื่องจากการลงทุนของ ThaiESG มุ่งเน้นไปที่หุ้นที่มีความยั่งยืน โดยเฉพาะกลุ่ม Green Energy ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ (Big Cap)

ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงกองทุน LTF ที่ครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2568 ซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 180,000 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้ถูกขายออกมา ประเด็นที่ว่านักลงทุนจะถูกจูงใจให้โยกเงินจาก LTF ไปสู่กองทุน Thai ESG Extra หรือไม่นั้น ฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่า สำหรับนักลงทุนที่ยังติดภาวะขาดทุนใน LTF และลังเลว่าจะขายออกหรือไม่ การโยกเงินเข้าสู่กองทุนใหม่นี้ อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ตามอัตราที่กำหนด ซึ่งเป็นแรงจูงใจสำคัญ

อีกทั้ง มองว่านักลงทุนส่วนใหญ่ที่ซื้อ LTF ตั้งแต่แรกก็มักใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีอยู่แล้ว ดังนั้น การมีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่อเนื่อง อาจช่วยดึงดูดให้เกิดการโยกย้ายเงินลงทุนเข้าสู่กองทุน Thai ESGX ได้มากขึ้น

ส่วนเมื่อวาน 11 มี.ค. ดัชนี SET Index ปรับตัวขึ้น ซึ่งฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่าเป็นแรงสนับสนุนในระยะสั้น และอาจช่วยลดแรงกดดันด้านดาวน์ไซด์ได้บ้าง แต่ยังไม่น่าจะส่งผลให้ตลาดปรับตัวขึ้นได้มากนักในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรมองภาพรวมของเศรษฐกิจ โดยพิจารณาว่า GDP จะสามารถเติบโตได้หรือไม่ หลังจากที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายด้าน ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าปัจจัยลบจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสงครามการค้า ยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ

โดยกลยุทธ์ลงทุนแนะนำธีมหุ้น ESG โดยมีหุ้นเด่นที่น่าสนใจ ได้แก่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ถือเป็นหุ้นที่น่าสะสมหลังจากราคาปรับตัวลงค่อนข้างลึก แม้ว่ากำไรไตรมาส 4/67 จะออกมาดี อีกทั้งคาดว่าแนวโน้มในไตรมาส 1/68 จะเติบโตขึ้นต่อเนื่องจากมาตรการ Digital Wallet ที่ช่วยหนุนการบริโภค ฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงแนะนำ “ซื้อสะสม” โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 80 บาท

ขณะที่ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวลงจากความกังวลเรื่องผลประกอบการไตรมาส 4/67 ที่ต่ำกว่าคาด รวมถึงประเด็นการขาย IPO ของ WHID แต่ฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่าปัจจัยลบเหล่านี้เริ่มคลี่คลาย จึงแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายที่ 6.40 บาท

สุดท้ายนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ของไทยยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่ารัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมารองรับ โดยเฉพาะในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นช่วง โลว์ซีซั่น ของภาคการท่องเที่ยว เช่น โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” หรืออาจเป็นมาตรการลักษณะเดียวกับ เที่ยวคนละครึ่ง รวมถึงอาจมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่เพิ่มเติม ทั้งหมดนี้จะช่วยให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนจากต่างชาติยังเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทย หากสงครามการค้ายังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน อาจสร้างแรงกดดันต่อตลาด แต่ในทางกลับกัน หากมีความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจากำแพงภาษี ก็อาจช่วยหนุนให้บรรยากาศการลงทุนฟื้นตัวขึ้นได้

Back to top button