
รัฐฯ ถก 4 กองทุนสุขภาพ! แก้ปัญหา “ค่ารักษา” เหลื่อมล้ำ – เพิ่มอำนาจต่อรองบริษัทยา
บอร์ดพิจารณาค่ารักษาพยาบาลฯ ถกแนวทางบริหาร 4 กองทุนสุขภาพ “บัตรทอง – ประกันสังคม – ข้าราชการ – อปท.” ยันยังไม่มีการควบรวม แต่เร่งศึกษาจุดแข็ง-จุดอ่อน หวังลดความเหลื่อมล้ำ คุมค่าใช้จ่าย หลังแนวโน้มพุ่งปีละ 11% พร้อมชงแนวทางรวมอำนาจต่อรองซื้อยาลดค่าใช้จ่าย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุม คณะกรรมการพิจารณาค่ารักษาพยาบาลของสวัสดิการรักษาพยาบาลของประเทศไทย วานนี้ (12 มี.ค.68) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังไม่ได้มีการพูดคุยควบรวม แต่ในที่ประชุมได้หารือเพื่อศึกษาจุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละกองทุน เพื่อรองรับคนรุ่นต่อ ๆ ไป ปัจจุบันระบบการรักษาพยาบาลของประเทศ มี 4 ระบบ ได้แก่ ประกันสุขภาพถ้วนหน้า (สิทธิบัตรทอง), ประกันสังคม, ข้าราชการ และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
นายพิชัย เปิดเผยว่า ในที่ประชุมไม่มีการคุยถึงการรวมสิทธิรักษาพยาบาลของ ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ระบบประกันสังคม ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และ ระบบการดูแลพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน แต่ได้พูดคุยว่าขณะนี้พบว่าที่ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากกว่า 4% ต่อปี ขณะที่จีดีพีของประเทศไทยมีอัตราการเติบโตที่ต่ำ โดยในปีที่ผ่านมาอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 2% และปีนี้อยู่ที่ 2% กว่า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบสุขภาพแน่นอน ถ้า 4 ระบบรวมกัน เชื่อว่า จีดีพีประเทศไทยต้องเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมยืนยันว่าแต่ละระบบที่มีอย่างไรในผู้ที่มีสิทธิ์วันนึ้ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ แต่ในอนาคตจะทำให้ดีขึ้น ไม่ใช่บอกว่าไปเปลี่ยนระบบอะไร โจทย์ไม่ใช่อย่างนั้น
ขณะเดียวกันที่ประชุมมีข้อเสนอ 8 แนวทาง โดยเน้นนำร่อง 2 เรื่องใหญ่ คือ งบประมาณ ที่แต่ละปี ใช้งบประมาณรักษาพยาบาล ทุกกองทุน รวม 360,000 ล้านบาทต่อปี แบ่งเป็น บัตรทอง 3,800 บาทต่อคน, ประกันสังคม 4,900 บาทต่อคน, ข้าราชการ 18,000 บาทต่อคน และ อปท. 12,000 บาทต่อคน โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นปีละ 11% สูงกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่โตเฉลี่ยปีละ 3% อีกทั้งสังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงต้องพิจารณาประสิทธิภาพและคุณภาพการรักษาให้เหมาะสม รวมถึง การบริหารจัดการการนำเข้ายา เพื่อลดค่าใช้จ่าย ซึ่งแต่ละปีนำเข้า 200,000 ล้านบาท
“งบประมาณที่ใช้อยู่ในแต่ละปีจะมีการของบเพิ่ม อยากจะดูจริง ๆ ว่าใช้เท่าไหร่กันแน่ นี่จะเป็นความสำคัญอันดับหนึ่ง และตอนนี้มีการนำเข้ายามาใช้ระบบเยอะมาก อาจจะมีโอกาสที่จะพูดคุยกัน เพื่อพัฒนาระบบยาของบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะใช้ชื่อสามัญแทนชื่อการค้า ซึ่งอาจจะช่วยทำให้เราใช้ค่าใช้จ่ายที่ลดลงบ้าง หรือมองไปถึงการผลิตยาในประเทศ หรือมองเรื่องการลงทุนต่าง ๆ รวมถึงกลไกการรวมหลายระบบเพื่อเจรจาต่อรอง ตรงนี้ไม่มีใครเสียหายเพราะเป็นการนำเข้าทั้งหมด ถ้าสามารถทำตรงนี้ได้ก่อนก็อาจเป็นกรอบที่สามารถทำงานได้ ” เลขาธิการ สปสช. กล่าว