
A5 ปักธงรายได้ปีนี้ 2.2 พันล้าน ชูกลยุทธ์ “วัสดุรักษ์โลก” นำร่อง 9 โครงการ
A5 กางแผนรายได้ปี 68 แตะ 2.2 พันล้านบาท เติบโต 15% พร้อมใช้วัสดุรักษ์โลกก่อสร้าง 80% นำร่อง 9 โครงการภายใน 2 ปี 68-69 มูลค่ารวม 8,300 ล้านบาท เดินหน้าสู่ Carbon Neutrality ปี 2593
นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ A5 ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบ-แนวสูงระดับลักชัวรี เปิดเผยว่า A5 ตระหนักถึงความสำคัญของความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการสร้างความมั่นคงในระยะยาว แถลงนโยบาย “A Better Planet for Sustainable Living” เพื่อประกาศเจตนารมณ์มุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ตั้งเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 พร้อมวางเป้าหมายเลือกใช้วัสดุเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Materials) 80% ภายในปี 2573
โดยผสานแนวคิด ESG (Environmental, Social, Governance) เข้ากับทุกมิติของการดำเนินธุรกิจ มุ่งมั่นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรีที่สร้างสมดุลระหว่างความหรูหราและความยั่งยืน มุ่งเน้นการออกแบบที่เหนือระดับ เลือกใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ความสำคัญกับ Well-Being & Wellness ผ่านทำเลพิเศษ ควบคู่กับการขับเคลื่อนธุรกิจด้านความยั่งยืน ภายใต้หลักการ “Greatness Inspired by LOVE” เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในวงการอสังหาริมทรัพย์ส่งต่อคุณค่าให้กับสังคม สิ่งแวดล้อมและโลก
ทั้งนี้ A5 ได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจจาก บริษัท นิปปอนเพนต์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL และ บริษัท เอสซีจี ลีฟวิง แอนด์ เฮาส์ซิง โซลูชัน ในเครือ เอสซีจี เพื่อยกระดับมาตรฐานการก่อสร้างและวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การเลือกใช้สีทาอาคารนวัตกรรมคุณภาพสูงสุด เกรดอัลตร้าพรีเมียม ที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและสะท้อนความร้อนพร้อมสร้างสุขภาพดีที่แก้ผู้อยู่อาศัย การติดตั้ง Solar Rooftop เพื่อผลิตพลังงานสะอาดสำหรับบ้านและพื้นที่ส่วนกลาง การติดตั้งระบบเติมอากาศบริสุทธิ์ SCG ACTIVE AIR QUALITY ยกระดับคุณภาพอากาศภายในบ้าน พร้อมทั้งยังได้รับการสนับสนุนวงเงินสินเชื่อ Transition Loan เพื่อใช้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์จากธนาคารกรุงไทยอีกด้วย
“จากความร่วมมืออันแข็งแกร่งร่วมกับพันธมิตรดังกล่าว จะช่วยส่งเสริมความมุ่งมั่นของ A5 ในการสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยที่เหนือระดับและยั่งยืนอย่างแท้จริง สำหรับโครงการในอนาคตของ A5 ทุกโครงการ จะได้รับการออกแบบและเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน พร้อมทั้งนำนวัตกรรมล้ำสมัยผสานเข้ากับแนวคิดรักษ์โลกอย่างลงตัว อีกทั้ง ดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมและชุมชนอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการ A5 Run With Love และโครงการ A5 สร้างห้องเพื่อน้อง โดยบริษัทตั้งเป้าหมายได้รับการประเมินตามหลักเกณฑ์ SET ESG Ratings หรือ FTSE Russell ภายในปี 2569-2570” นายศุภโชค กล่าว
นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นิปปอนเพนต์ มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการยึดลูกค้าและผู้ใช้งานทุกคนเป็นศูนย์กลาง (Customer-Centricity) พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการ ซึ่งสอดคล้องแนวทางการดำเนินงานของ A5
โดยการเลือกใช้สีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เช่น สีนวัตกรรมทาภายนอก “นิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์” สะท้อนความร้อนสูงสุด 99.5% และสีนวัตกรรมทาภายใน “นิปปอนเพนต์ แอร์แคร์” สีเพื่อสุขภาพรายแรกที่ได้ GREENGUARD GOLD Certification ช่วยฟอกอากาศให้บริสุทธิ์พร้อมกำจัดฟอร์มัลดีไฮด์และเชื้อโรคบนผนัง ซึ่งทั้งสองชนิดเป็นสีเกรดอัลตร้าพรีเมียม ทนทานกว่า 15 ปี ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้กว่า 25,000 กิโลกรัม เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 2,600 ต้น ซึ่งลูกบ้านของ A5 จะได้คุณภาพสีที่ปลอดภัยที่สุดในโลกแบบนี้ทุกหลังแน่นอน
นางสาวนฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL กล่าวว่า เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ GUNKUL ได้เป็นพันธมิตรด้านพลังงานสะอาดและมีส่วนร่วมในการส่งมอบบริการโซลาร์รูฟท็อปแบบครบวงจรโดยออกแบบและติดตั้งให้กับโครงการใหม่ของทาง A5 ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ใหม่ของบริษัทฯ ในการเป็นพาร์ตเนอร์ด้านพลังงานสีเขียวที่สามารถสร้างความยั่งยืนที่คุ้มค่าให้กับผู้อยู่อาศัย
โดยพลังงานสะอาดที่ผลิตได้ของทั้งโครงการใน 1 ปีเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้กว่า 2,510 ต้น หรือลดคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าราวๆ 54,000 กิโลกรัมคาร์บอน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งโครงการประมาณปลายปี 2569 ทาง GUNKUL มีความยินดีที่ได้ขยายอีโคซิสเต็มด้านพลังงานสีเขียวที่ลูกบ้านมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเป้าหมายประเทศไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น
นายเกริก ยิ้มพรพิพัฒน์ผล Smart Home Director บริษัท เอสซีจี ลีฟวิง แอนด์ เฮาส์ซิง โซลูชัน กล่าวเสริมว่า SCG และ A5 มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการพัฒนาโครงการยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต เพื่อเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยด้วยอากาศสะอาด และระบบที่ทำให้บ้านน่าอยู่มากขึ้น
ผ่าน SCG ACTIVE AIR QUALITY ภายใต้แบรนด์ ONNEX by SCG Smart Living ที่ช่วยบล็อกและกรองฝุ่น PM2.5 ตั้งแต่ต้นทาง มาใช้ในโครงการ CINQ ROYAL The Eighteen Bangna KM.7 (แซงค์ รอยัล ดิ เอททีน บางนา กม.7) รวมถึงโครงการอื่นในอนาคต เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพอากาศภายในบ้าน ซึ่งช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี
นายสุรธันว์ คงทน ประธานผู้บริหาร Wholesale Banking ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ธนาคารกรุงไทยพร้อมสนับสนุนธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่การทำธุรกิจอย่างยั่งยืนที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาธิบาล (ESG) ขับเคลื่อนองค์กรและประเทศสู่ Net Zero Emission โดยสนับสนุนทางการเงินแก่ A5 ผ่านสินเชื่อ Transition Loan ที่ออกแบบเพื่อช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจสามารถเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจดั้งเดิม (Brown) ไปสู่ธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Less Brown) และธุรกิจสีเขียว (Green) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งธนาคารได้เล็งเห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของ A5 ในการนำแนวคิดเรื่อง ESG มาใช้ในการดำเนินงาน ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำแบบครบวงจร สอดคล้องกับการดำเนินงานของธนาคาร ในการสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้น ตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”
นอกจากนี้ นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร A5 กล่าวว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 2,200 ล้านบาท เติบโต 15% จากปีที่แล้วที่ทำได้ 1,800 ล้านบาท โดยล่าสุด ได้เปิดตัว โครงการ ROYAL The Eighteen Bangna KM.7 (แซงค์ รอยัล ดิ เอททีน บางนา กม.7) ซึ่งเลือกทำเลในการสร้างโครงการ เนื่องจากมีกำลังซื้อที่แข็งแกร่งในพื้นที่ ภาคตะวันออก อีกทั้ง บริษัทมีความชำนาญในการพัฒนาโครงการมาตั้งแต่พื้นที่ กรุงเทพกรีฑา
โดยปีนี้ บริษัทคาดการณ์จะเปิดโครงการใหม่ 6 โครงการ และครึ่งแรกปี 69 อีกจำนวน 3 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการนำร่องเกี่ยวกับความยั่งยืนทั้งหมด มูลค่าโดยรวมอยู่ที่ 8,300 ล้านบาท
สำหรับ มูลค่าโครงการ ROYAL The Eighteen Bangna KM.7 มีมูลค่าอยู่ที่ 1,650 ล้านบาท ประกอบด้วยบ้านทั้งหมด 28 หลัง ซึ่งขณะนี้มีลูกค้าให้ความสนใจเข้าชมโครงการเป็นจำนวนมาก ราคาขายเฉลี่ย 75-220 ล้านบาท ตั้งอยู่ใกล้ ศูนย์การค้า Mega bangna ซึ่งถือเป็นทำเลศักยภาพสูง และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักยังคงเป็น ลูกค้าชาวไทย ขณะเดียวกัน บริษัทได้ตั้งงบประมาณสำหรับการซื้อที่ดินไว้ที่ 1,000 ล้านบาท โดยมีความสนใจขยายการลงทุนไปยัง จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูงและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“เราภูมิใจในทำเลของเรา เพราะนี่คือโครงการเดียวที่สามารถเชื่อมต่อไปยังเมกาบางนาได้โดยตรง อีกทั้งยังมีวิวสนามกอล์ฟอยู่หน้าโครงการ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่หาได้ยาก อย่างไรก็ตาม บริษัทยอมรับว่าภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงเผชิญความท้าทาย เนื่องจากธนาคารพาณิชย์มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ขณะที่ ตลาดหุ้นยังคงซบเซบ ทำให้กลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงบางส่วนชะลอการตัดสินใจลงทุน” นายศุภโชค กล่าว